Guardians of the galaxy รวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาล

                ภาพยนตร์สายเลือดซูเปอร์ฮีโร่จากค่ายมาร์เวลสตูดิโอ ที่มีการแนะนำตัวกันอย่างหนักหน่วงจริง ๆ ในช่วงแรกที่หนังเข้าฉายแรก ๆ เนื่องจากมาร์เวลไม่เคยเกริ่นนำถึงพวกเขามาก่อน ในส่วนของคนที่ไม่อ่านการ์ตูน(ซึ่งมีจำนวนมาก) จึงไม่รู้จักพวกเขา แต่พอรู้จักแล้ว ตัวละครทุกตัวกลับทำให้หลงรักอย่างหัวปักหัวปำ โดยเฉพาะตัวขโมยซีนอย่าง กรูท ต้นไม้แสนกวนชวนขำ กับประโยคติดปาก และดูเหมือนจะเป็นบทพูดบทเดียวของเขานั่นคือ “ไอ แอม กรูท” ซึ่งก็เป็นบทที่เรียกคะแนนความรักความเอ็นดูจากผู้ชมไปเต็ม ๆ

เรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวที่น่าปวดหัวที่สุด ในตระกูลฮีโร่ของมาร์เวลเลยก็ว่าได้ ที่จับคาแรคเตอร์เจ้าเล่ห์ของ ปีเตอร์ ควิลล์ (Chris Pratt) ที่เกิดบนโลกมนุษย์ และเหมือนว่าความทรงจำเกี่ยวกับพ่อของเขาจะหายไป, แร็คคูนสายกวนแถมความโหดอย่าง ร็อคเก็ต (พากย์เสียงโดย Bradley Cooper), นักฆ่าสาวแสนสวยสุดเซ็กซี่อย่าง กาโมร่า (Zoe Saldana), ฮิวแมนนอยด์ที่รูปร่างเหมือนต้นไม้ที่มีนิสัยไม่แคร์สายตาใครอย่าง กรูท (พากย์เสียงโดย Vin Diesel) , และแดร๊กซ์ ที่มีเป้าหมายเพื่อล้างแค้นให้ครอบครัว (Dave Bautista) ดูจากบทบาทของตัวละครแล้ว ก็ทำให้น่าสนใจมากขึ้นไปอีก ว่าหนังจะออกมาเป็นอย่างไร พอได้ดูก็เข้าใจทันทีว่าพวกเขามารวมตัวกันเพื่อ…แย่งซีนกัน ซึ่งเป็นการแย่งซีนที่แทรกมุขตลกได้โดนใจคนดูเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีฉากแย่งซีนที่น่าประทับใจอีกมากมาย ถือว่าเป็นหนังคอมเมดี้ไซไฟที่ทำออกมาได้น่าประทับใจมากจริง ๆ มุขที่ปล่อยออกมาถูกจังหวะไปซะหมด วัดจากกระแสตอบรับของคนดูแล้วก็พบว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้มีมุขไม่ฮาพาเครียดน้อยกว่าเรื่องอื่นเยอะเลยล่ะ

เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ พล็อตเรื่องมักจะไม่ต่างกัน คือต้องมีภารกิจสำคัญให้ทำอย่างแน่นอน ซึ่งสำหรับเรื่องนี้พล็อตเรื่องถือว่าธรรมดามาก ในการรู้ความลับของตัวร้ายแล้วไปสกัดกั้นเพื่อไม่ให้มีสิ่งใดถูกทำลาย แต่กลับมีวิธีการนำเสนอที่แตกต่างจากเรื่องอื่น การใช้ภาพ และเพลงในยุค 70 ก็ดูแหวกแนวมากๆ เพราะมีสไตล์ยียวนกวนประสาท มาพร้อมกับบทสนทนาที่เรียกเสียงหัวเราะได้ทุกชุด อีกทั้งยังแอบมีบทดราม่าเล็ก ๆ ให้คนดูได้เสียน้ำตาอีกด้วย ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ครบรสมากจริง ๆ

ถือว่าเป็นกลุ่มสายพันธุ์ฮีโร่ของมาร์เวลอีกกลุ่มหนึ่ง ที่น่าจับตามเป็นอย่างมาก ว่าจะไปต่อในทิศทางไหน ถึงแม้ในตอนนี้จะมีภาค 2 ออกมาให้ได้ดูกันเรียบร้อยแล้ว แถมไปสร้างความเกลียดชังไว้ในอเวนเจอร์ล่าสุดอีก แต่ในส่วนของปฐมบทนั้นก็ยังควรค่าแก่การกลับมาดูซ้ำอีกรอบ สำหรับใครที่ยังไม่เคยดู บอกได้เลยว่า สนุก มันส์ ฮา แบบครบรสแน่นอน

 

Rampage ใหญ่ชนยักษ์ การต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดของสัตว์กลายพันธุ์

                เป็นการกลับมาที่น่าประทับใจอีกครั้ง ของอดีตนักมวยปล้ำหุ่นล่ำบึ้กอย่าง ดเวนย์ จอห์นสัน หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อ เดอะร็อค ที่หวนกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งกับผู้กำกับ แบร็ต เพย์ตัน ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเกมส์ที่เป็นที่นิยมในปี 1986 แต่เนื้อเรื่องไม่ใช่การทำลายร้างเมืองแบบในเกมส์แน่นอน

เริ่มต้นเรื่องราวด้วยการแอบทำการทดลองลับบนดาวเทียมของบริษัทเอนเนอจีนย์ ซึ่งดูเหมือนว่าการทดลองนี้จะเป็นการดัดแปลงพันธุกรรมของสัตว์ แต่ดาวเทียมกลับระเบิดเสียก่อน เพราะดันมีสัตว์ทดลองหลุดออกมา นักวิจัยจึงเก็บยีนส์ตัวอย่างแล้วหนีกลับบ้าน แต่โชคร้ายที่ยานเอาตัวรอดก็ไปไม่รอด ยีนส์ตัวอย่างเหล่านั้นจะพุ่งสู่โลกโดยไร้การควบคุม ตัดภาพมาที่มิตรภาพแสนอบอุ่นของ เดวิด โอโคเย (ดเวนย์ จอห์นสัน) กับสหายตัวใหญ่อย่าง จอร์จ ลิงกอริล่าเผือกที่รอดพ้นจากการถูกฆ่า เดวิดจึงเก็บมาเลี้ยงไว้ เรียกได้ว่าเป็นทั้งเพื่อน และส่วนหนึ่งในครอบครัวเลยทีเดียว ฉากความสัมพันธ์ของจอร์จกับมนุษย์นั้น ทำออกมาได้กวนชวนขำและน่ารักมาก ในเรื่องจอร์จสามารถสื่อสารภาษามือได้ ซึ่งถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว เป็นฉากที่ทำให้แอบยิ้มตามกันแน่นอน

ผืนป่าสงบสุขได้ไม่นาน ยีนส์ตัวอย่างที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรมก็หล่นถึงพื้น ตอนนี้เองที่สัตว์ขนาดยักษ์แบบที่เรารู้จักในเกมส์ได้ปรากฏขึ้น นั่นคือ จอร์จลิงกอริล่ายักษ์ , ราล์ฟหมาป่ายักษ์ และลิซซี่จระเข้ยักษ์ ปัญหาใหญ่ยิ่งว่าไซต์ของเจ้าสัตว์ยักษ์จึงเกิดขึ้น เมื่อพวกสัตว์เหล่านี้ได้รับยีนส์เด่นจากสัตว์ชนิดอื่น ทั้งว่องไว แข็งแกร่ง และก้าวร้าวมากขึ้น ดูเหมือนจะไม่มีอาวุธใด ๆ หยุดพวกมันได้ เมื่อบริษัทเอนเนอจีนย์ได้ยินข่าวและรู้ว่าการทดลองของพวกเขานั้นสำเร็จ พวกเขาจึงส่งคนออกตามล่าเพื่อนำสัตว์กลับมาวิจัยต่อ แต่ก็ไม่ได้ผล ด้วยพละกำลังมหาศาล จึงไม่สามารถเข้าถึงพวกมันได้ ในเนื้อเรื่องดูเหมือนว่าจระเข้ยักษ์จะไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก มีฉากที่กลายร่างแล้วว่ายใต้น้ำ จากนั้นก็หายไปเหมือนไม่ได้เป็นตัวละครในเรื่อ กลับมาอีกทีก็ตอนที่เรื่องเกือบจบซะแล้ว เลยได้ชื่นชมความอลังการได้ไม่เต็มที่ซักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่า ไรอัน เอเจิลล์ เขียนบทออกมาได้ดีมาก เพราะเนื้อหาในเกมส์นั้นไม่มีอะไรเลย มีแค่สัตว์ประหลาดทำลายเมือง ต้องขอชื่นชมว่ามีความคิดสร้างสรรค์มาก ๆ และฉากแอ็คชั่นก็ยังมันส์แบบสุดขั้ว สมกำกับที่คาดหวังไว้จริง ๆ

เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์สร้างจากเกมส์ที่เนื้อเรื่องและบทบาทมีคุณภาพอันดับต้น ๆ สำหรับในรอบหลายปีเลยทีเดียว ใครที่ยังไม่ได้ดูต้องห้ามพลาด แล้วคุณจะได้พบกับมิตรภาพที่แสนอบอุ่น และฉากแอ็คชั่นที่มันส์กระจายแน่นอน

 

The Space between Us รักเราแค่ดาวอังคาร

วันนี้เราจะพาข้ามห้วงอวกาศไปกับภาพยนตร์แนวโรแมนติกไซไฟ หนังรักใส ๆ ที่พล็อตหลักของเรื่องเป็นการพูดถึงชีวิตของเด็กหนุ่ม ที่ต้องเติบโตในดาวอังคาร เราจะพาไปดูกันแบบเจาะลึกรายละเอียด และทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่ผู้กำกับพยายามจะสื่อออกมาถึงผู้ชมกัน

เมื่อมีสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนกับพบเจอกับคนที่ถูกใจก็กลายเป็นเรื่องง่าย แค่มีเอ็นเตอร์เน็ต ก็มีความรักได้แล้ว เช่นเดียวกันกับ การ์ดเนอร์ เอลเลียต (รับบทโดย อาซา บัตเตอร์ฟิลด์) เด็กชายวัย 16 ปี ที่เติบโตและใช้ชีวิตอยู่บนดาวอังคาร การ์ดเนอร์เป็นตัวละครที่สื่อถึงหลายประเด็น ทั้งการอยากรู้อยากเห็นตามวัย การอยากมีอิสรภาพได้ทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำ การใช้ชีวิตกับครอบครัว และการมีความรัก เรียกได้ว่าบทพยายามจะจับทุกประเด็นมาใสในตัวเขา แล้วทำให้เชื่อมโยงกัน แต่ด้วยเลาที่มีจำกัดจึงทำให้ไม่สามารถลงลึกในแต่ละปมได้ หลายคนที่ดูแล้ว จึงรู้สึกเหมือนหนังทำได้ไม่สุด แต่ถ้าลองมองในอีกมุมมองหนึ่ง เด็กที่ใช้ชีวิตกับการเรียนรู้จากเทคโนโลยีนอกโลก ความรู้และทักษะชีวิตของเขามีเพียงเท่าที่คนบนโลกโปรแกรมไว้เท่านั้น ทำให้เข้าใจได้ว่าผู้กำกับพยายามทำให้เหมือนจริง เพราะหนังใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการเล่าเรื่อง ทำให้คนดูไม่ต้องตีความซับซ้อน เพราะการใช้ชีวิตบนดาวดวงอื่นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน

ปมของหนังที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อเด็กชายจากดาวดวงอังคาร ได้พูดคุยและเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตกับเด็กสาวบนที่อยู่โลกมนุษย์ ความอยากรู้อยากเห็นของเขา จึงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า เป็นเรื่องราวความรักที่ดูเป็นไปได้อยาก เพราะการ์ดเนอร์ไม่สามารถใช้ชีวิตบนโลกเราได้อย่างเด็กปกติ เรียกง่าย ๆ คือ ร่างกายของเขาไม่สามารถทนต่อแรงดันอากาศและสภาพแวดล้อมในโลกได้ แต่ปัญหานั้นก็ไม่ได้ทำให้ความอยากที่จะมาใช้ชีวิตบนโลกลดลง นอกจากปมเรื่องราวรักแล้ว ก็ยังมีปมเรื่องปัญหาครอบครัวเข้ามาด้วย แต่ในส่วนนั้นดูเหมือนว่าจะทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ ภาพโดยรวมของหนังจึงเน้นไปที่ความรักของเด็กหนุ่มสาว ที่โรแมนติกและหน่วงความรู้สึกไปพร้อมกัน ถือว่าทำได้ดีในส่วนของหนังรัก แต่ประเด็นอื่นๆนั้นก็ขอพูดถึงเพียงเท่านี้ แนะนำว่าดูแบบชิล ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากจะดีกว่า

ถือว่าเป็นหนังรักโรแมนติกอีกเรื่อง ที่จะทำให้คุณได้ดื่มด่ำกับความชุ่มฉ่ำหัวใจ ในสไตล์รักใส ๆ ที่คงจะหาเจอในชีวิตจริงได้ยาก เป็นหนังที่เก็บไว้ดูเวลารู้สึกหม่นหมอง หรือท้อใจได้ดีระดับหนึ่งเลยล่ะ ดูแล้วจะสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างแน่นอน

 

John Wick 2014 แรงกว่านรก

ภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นล้างผลาญ ที่ได้ดาราหนุ่มรุ่นใหญ่อย่าง คีอานู รีฟส์ ในวัย 50 มารับบทเป็นนักแสดงนำ หลังจากที่ช่วงก่อนหน้า ที่ผลงานของเขาไม่เป็นที่นิยมมากนัก ในส่วนของเนื้อหาในภาพยนตร์เรื่องนี้ เล่าถึงเรื่องราวของมือปืนระดับแนวหน้า ที่ต้องพบเจอกับความสูญเสีย และอยากที่จะวางมือจากวงการ ต้องขอชมว่า คีอานู รีฟส์ ถ่ายทอดอารมณ์และบทบาทออกมาได้ดีเกินคาดเลยล่ะ

เปิดฉากเล่าเรื่องราวของ จอห์นหรือ โจนาธาน วิค (คีอานู รีฟส์) อดีตมือปืนและนักฆ่าสุดโหดระดับพระกาฬ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น จริงจัง จอห์นสามารถคน 3 คนได้ด้วยดินสอเพียงแท่งเดียว โหดจนได้รับฉายาว่า “บาบายาก้า” เขาเพิ่งจะสูญเสียคนรักไปโดยไม่ทันตั้งตัว ความเจ็บปวดยังคงวนเวียนเป็นภาพหลอนอยู่ในหัว จอห์นเฝ้าถามว่าทำไมถึงต้องเป็นคนรักของเขาที่จากไป คำตอบที่เขาได้รับมีเพียงประโยคที่ว่า ชีวิตมันไม่มีเหตุผล วันนี้ก็เป็นเพียงแค่วันที่เศร้ากว่าวันอื่นแค่นั้น หลังจากที่คนรักของจอห์นจากไป เขาก็ได้รับลูกสุนัขของขวัญ เรียกได้ว่าเป็นของแทนใจชิ้นสุดท้ายที่แฟนสาวเตรียมไว้ให้ก่อนตาย แต่จอห์นก็มีความสุขกับเจ้าหมาน้อยได้ไม่นาน เขาก็ถูกแก๊งอันธพาลมาขโมยรถ และฆ่าน้องหมาสุดที่รักไปต่อหน้าต่อตา ด้วยความแค้นจอห์นจึงตามล่าพวกนั้น จนได้รู้ว่าคนที่ฆ่าหมาของเขา เป็นลูกชายของเจ้านายเก่า ด้วยความเสียใจ ที่ต้องเสียสิ่งที่รักไปพร้อมกันในเวลาอันสั้น และความโกรธแค้นนั้นทำให้เขาต้องกลับเข้ามาในโลกของนักฆ่าอีกครั้ง

จอห์นออกตามล่าโดยไม่สนใจว่าคนคนนั้นจะเป็นลูกชายของผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในรัสเซีย ฉากการต่อสู้ของหนังเรื่องนี้อาจจะไม่รุนแรงสมจริงมากนัก เพราะดูเหมือนผู้กำกับจะตั้งใจทำให้ฉากแอ็คชั่น ออกมาดูแฟนซีและมีความสวยงามในทุกอิริยาบถ เพลงประกอบสามารถสร้างความเร้าใจ และทำให้มีอารมณ์ร่วมกับหนังได้มากขึ้น ก็ถือว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัว เนื้อเรื่องแม้จะไม่ได้แปลกใหม่ สามารถเดาทางและฉากต่อไปได้แบบง่าย ๆ แต่ตัวละครมีความเด่น และน่าสนใจมาก ๆ ถ้าดูผ่าน ๆ ก็อาจจะสับสนว่าใครเป็นตัวเอกได้ เนื้อเรื่องยังมีช่วงเดตแอร์อยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นผลงานที่ดีและได้รับความนิยมที่สุดในรอบ 10 ปีของคีอานู รีฟส์ ถือว่าเป็นการคืนฟอร์มแบบมีสไตล์มาก เพราะเรื่องนี้เขาแสดงบทบาทการต่อสู้ออกมาได้ดี และในส่วนของบทเองก็เข้ากับเขามากเลยทีเดียว

สำหรับใครเป็นคอหนังสายแอ็คชั่นคงไม่พลาดอยู่แล้ว ส่วนคนที่อยากหาหนังมันส์ ๆ ดูยามว่าง เรื่องนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ รับรองว่าสนุกถึงใจแน่นอน

 

Begin Again เพราะรักคือเพลงรัก

วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับภาพยนตร์แนวโรแมนติกปนดราม่าเล็ก ๆ จากผู้กำกับ จอห์น คาร์นีย์ ที่นำแสดงโดยนักแสดงคุณภาพอย่าง เคียรา ไนต์ลีย์มาร์ก ราฟฟาโล่เฮลี สไตน์เฟลด์ และนักร้องหนุ่มชื่อดังอย่าง อาดัม เลอวีน ที่เนื้อเรื่องพยายามพูดถึงการเริ่มต้นใหม่ หลังจากเจอเหตุการณ์ร้าย ๆ ในชีวิต พร้อมกับเป็นเจ้าของบทงานเพลง ลอสสตาร์ ที่เนื้อเพลงเล่าถึงการตามล่าความฝันและเส้นทางชีวิตแสนไพเราะ ที่ต้องลองฟังสักครั้งในชีวิต

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อหนุ่มใหญ่อย่าง แดน มัลลิแกน (มาร์ก รัฟฟาโล) ผู้บริหารค่ายเพลงในนครนิวยอร์ก ที่กำลังเจอกับปัญหาใหญ่ เมื่อไอเดียของเขานั้นล้าสมัย และไม่เป็นที่นิยม จึงทำให้เขาถูกไล่ออกจากบริษัทของตัวเอง ฉากนี้พยายามสื่อถึงคนที่ท้อแท้หมดหวัง และหมดกำลังใจในตัวเองถึงขีดสุด ซึ่งเป็นมุมมองที่ดีในการนำเสนอแนวทางแก้ไขให้กับคนที่กำลังประสบปัญหาเหล่านี้อยู่ โดยเนื้อเรื่องดำเนินในแบบที่ตัวละครสิ้นหวัง แต่ไม่ได้สิ้นคิด เขายังคงหวังว่าจะเจอไอเดียใหม่ๆเพื่อที่จะได้กลับไปยึดบริษัทของตัวเองคืน จนมาเจอกับ เกรต้า (เคียรา ไนต์ลีย์) นักร้องและนักแต่งเพลงสาวสวย ที่โดดเด่นและโดดเดี่ยว แดนจึงพยายามชักชวนให้เธอมาทำผลงานเพลงกับเขา เพราะเขาเชื่อว่าเพลงของเกรต้าจะต้องดังและเป็นที่นิยมอย่างแน่นอน

ในตอนแรกที่เจอกับผู้บริหารที่ไร้บริษัทอย่างแดนนั้น เกรต้าก็ไม่มั่นใจที่จะไปเสี่ยงกับเขา เพราะเธอมีแฟนหนุ่มเป็นศิลปินชื่อดังคอยดูแลอยู่แล้ว แต่เมื่อเธอได้รู้ความจริงว่า  เดฟ โกห์ล (อาดัม เลอวีน) แฟนของเธอนั้นหักหลังเธอด้วยการแอบไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้หญิงในช่วงที่เขาไปโปรโมทอัลบั้ม ทำให้เกรต้าตัดสินใจหันหลังให้กับคอนโดหรูและมาอาศัยอยู่กับเพื่อนนักดนตรีของเธอแทน เนื้อเรื่องเล่าถึงความเจ็บปวดจากการถูกหักหลังได้อย่างครบรส และสื่อถึงเรื่องราวที่เจ็บปวดของเกรต้ากับแดนได้อย่างชัดเจน จะสังเกตได้ว่าทั้งตนนั้นมีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันนั่นคือ การโดนคนที่ไว้ใจหักหลัง ซึ่งตัวละครก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว ส่วนอีกหนึ่งฉากที่เป็นฉากประทับใจและน่าจดจำมาก ๆ นั่นก็คือ ตอนที่เดฟแฟนเก่าของเกรต้า นำเพลงที่เธอแต่งให้เขาตอนที่อยู่ด้วยกันสองคนขึ้นแสดงบนเวลา เป็นฉากที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และความรู้สึกคาดหวังที่จะได้รับการอภัยของฝ่ายชาย บวกกับความเสียใจเมื่อต้องคิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ และการตัดสินใจที่จะไม่กลับไปอยู่ในจุดเดิมอีกครั้งของฝ่ายหญิง เรียกได้ว่าเป็นฉากที่อึดอัดและอยากร้องไห้ตามไปด้วยจริง ๆ

เป็นภาพยนตร์คุณภาพอีกเรื่องที่นอกจากเนื้อเรื่องจะให้ข้อคิดในการต่อสู้กับปัญหาในชีวิตอย่างมากมายแล้ว ในส่วนบทเพลงแนวบัลลาดที่ใช้ประกอบในเรื่องนั้นก็ยังเพราะติดหูสุดๆ เลยด้วย ลองเปิดใจดูกันสักครั้งนะ

 

Bad Genius ฉลาดเกมส์โกง เรื่องราวความเจ้าเล่ห์ของวัยรุ่นไทย

หลายคน ๆ คงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ดูหนังไทยไปก็เสียเวลา แล้วก็ต้องเสียตังค์แพง ๆ ไปดูในโรงภาพยนตร์หรอก เดี๋ยวรอดูตามเว็บเอาดีกว่า” กันบ้างอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ วันนี้เราจึงมาแนะนำภาพยนตร์ไทย ที่จะมาลบคำสบประมาทเหล่านี้ออกไปอย่างสิ้นเชิงนั่นคือ Bad Genius ฉลาดเกมส์โกง เป็นหนังแนวดราม่าเกี่ยวกับปัญหาชีวิตวัยรุ่น ที่เข้าฉายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 การันตีคุณภาพโดยการได้รับเลือกให้เป็นภาพยนตร์ฉายเปิดเทศกาลภาพยนตร์เอเชียนิวยอร์ก ครั้งที่ 16 ณ สหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรก ที่ถูกนำไปรีมาสเตอร์เพื่อเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์อีกด้วย

เนื้อเรื่องเล่าถึงเรื่องราวของเด็กม.ปลาย ที่มีชีวิตแตกต่างกัน เริ่มต้นที่ ลิน (ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) นักเรียนสายเรียนดี เป็นที่รักของคุณครู ผู้ครองเกรดเฉลี่ย 4.00 ทุกปีการศึกษา แต่ฐานะทางบ้านของเธอนั้นไม่ดีสักเท่าไหร่ พ่อของลิน ทำงานเป็นคุณครูในต่างจังหวัด จึงเป็นเหตุทำให้เธอมักจะโดนดูถูกและเป็นแผลในใจตลอดเวลา ซึ่งเพื่อนสนิทของลินคือ  เกรซ (อิษยา ฮอสุวรรณ) เด็กสาวที่รักในการทำกิจกรรมเป็นอย่างมาก แต่ผลการเรียนของเธอกลับย่ำแย่จนไม่เป็นที่น่าพอใจ เธอจึงต้องพยายามที่จะดีดตัวเองให้สูงขึ้น เนื่องจากเธอกำลังคบหากับ พัฒน์ (ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ) เด็กหนุ่มที่เติบโตมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมไปด้วยเงินทองและบริวาร เรียกว่ารวยล้นฟ้าเลยก็ว่าได้ จึงทำให้เขามีแนวคิดฝังหัวที่ว่าเงินสามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้ ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียว พ่อแม่ของพัฒน์จึงคาดหวังให้เขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำ เรื่องราวของธุรกิจการศึกษาจึงเกิดขึ้น เมื่อคนหนึ่งมีสมองที่ฉลาดเป็นกรด ส่วนอีกคนมีเงินที่พร้อมจะจ่ายให้กับทุกสิ่งที่อยากได้

เมื่อเด็กทั้งสามตกลงที่จะทำงานใหญ่ด้วยกัน  นั่นคือการสอบ STIC ที่ยากและเป็นมาตรฐานระดับสากล พวกเขาจึงต้องวางแผนกันอย่างรอบคอบและรัดกุม เพื่อให้ได้ในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้คาดหวัง แต่เป็นสิ่งที่พวกเขาเหล่านี้ถูกคาดหวัง ซึ่งเป็นความแปลกใหม่และความกล้าคิดกล้าทำของผู้กำกับ ที่สร้างเนื้อเรื่องเสียดสีสังคม และการศึกษาของไทยได้อย่างเจ็บแสบมากทีเดียว ตัวละครแต่ละตัวมีปมปัญหาที่เจ็บปวดในชีวิตของตัวเอง ซึ่งนักแสดงทุกคนสามารถสื่อออกมาได้อย่างชัดเจน สมกับที่ได้รับเลือกไปเป็นภาพยนตร์ฉายเปิดเทศกาลภาพยนตร์เอเชียนิวยอร์กจริง ๆ

ไม่ใช่แค่ตัวละครในเรื่องเท่านั้นที่ทำเรื่องไม่ดี เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คนอื่นคาดหวัง เพราะหนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เราทุกคนต้องเคยพบเจอมาด้วยตัวเอง หรือพบเจอโดยคนใกล้ตัว เป็นความอึดอัดกดดันที่หาทางออกได้ยาก สำหรับใครที่ชอบหนังแนวดราม่า และโชว์ทักษะความเก่งกาจของตัวละครได้อย่างดีนั้น รับรองว่าถ้าดูเรื่องนี้แล้ว จะต้องได้หนังในดวงใจ เพิ่มไว้ในลิทรายชื่อหนังโปรดอีกเรื่องอย่างแน่นอน

 

A Quiet Place ดินแดนไร้เสียง

วันนี้เรามาเอาใจคนรักภาพยนตร์ที่เป็นสาวกแนวระทึกขวัญ หลอนประสาท และกดดันกันสุดขีด กับภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวใหม่ ที่ไม่ต้องใช้คนแสดงเป็นสิบก็ดำเนินเรื่องได้แบบถึงใจสุด ๆ มีตัวละครที่ดำเนินเรื่องคือ คู่สามีภรรยาและลูก ๆ ของพวกเขา ซึ่งรับบทโดยเอมิลี่ บลันต์ ภรรยาในชีวิตจริงของจอห์น คราซินสกี รับหน้าที่เป็นทั้งพ่อในเรื่องและเป็นผู้กำกับอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นหนังแนวระทึกขวัญที่ดีที่สุดของปีนี้เลยทีเดียว เพราะเนื้อเรื่องเล่นกับความเงียบ และความสัมพันธ์ในครอบครัว เป็นปมปัญหาที่ขนาดคุยกันด้วยเสียงยังก็แก้ยาก แล้วเรื่องนี้ต้องคุยกันด้วนภาษามือ กดดันคนดูจนแทบไม่กล้าหายใจกันเลยทีเดียว

เริ่มต้นเรื่องราวด้วยความเงียบ พร้อมกับบรรยากาศของเมืองที่เหมือนจะร้างจนไร้ผู้คน แต่ก็มีครอบครัวหนึ่งที่ยังอยู่รอด นั่นคือ ครอบครัวแอบบอตต์ พวกเขากำลังจะเดินทางด้วยเท้า เพื่อไปสร้างหลักแหล่งอยู่นอกเมือง โดยการโรยทรายไปตามทางเพื่อไม้ให้เกิดเสียงเวลาเดิน ในแต่ละวันพวกเขาต้องดำเนินชีวิตกันแบบไร้เสียง เพราะถ้ามีใครทำเสียงดังขึ้นมาละก็ เจ้าสิ่งลับมันจะบุกมาคร่าชีวิตของพวกเขาทันที เนื้อเรื่องดำเนินไปด้วยความเงียบ สำหรับคนที่ไปดูในโรงภาพยนตร์คงจะรับรู้ความรู้สึกที่ว่า หนังสามารถคุมคนดูได้อย่างอยู่หมัด จากที่มีเสียงคนคุยกันคึกคัก เสียงขบเคี้ยวขนมในตอนแรก พอเมื่อหนังเริ่มฉายได้ไม่ถึง 5 นาที ทุกอย่างก็เงียบสนิท เหมือนไม่มีคนดูอยู่ในโรง เมื่อมีฉากที่เกิดเสียงดังก็จะได้ยินเสียงสูดลมหายใจของคนในโรงอย่างแผ่วเบา เรียกได้ว่าเป็นหนังเงียบที่ทำได้ดีสมกับชื่อเรื่องจริง ๆ

ปมของหนังเล่นกับความรู้สึกของคนดูอย่างหนักหน่วง ความกดดันที่ไม่สามรถออกเสียงได้ ความเศร้าโศกจากการสูญเสียลูกชายตัวน้อย ๆ ไป และความเจ็บปวดของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ไม่สามารถปลอบโยน หรือแม้แต่ร้องไห้ให้ลูกได้ เป็นความเจ็บปวดที่ดาราชื่อดังอย่าง เอมิลี่ บลันต์ ต้องใช้ทักษะในการแสดงอารมณ์ทางสีหน้าที่ยากมาก ๆ แต่เธอก็สามารถทำออกมาได้เข้าถึงคนดูอย่างลึกซึ้งจริง ๆ เนื้อเรื่องดำเนินต่อไปเกือบสองร้อยวัน แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็อุบัติขึ้น เมื่อเธอเกิดตั้งครรภ์ ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะคลอดทารกออกมาโดยไม่ใช้เสียง พวกเขาจึงพยายามสร้างห้องเก็บเสียงขึ้นมา ในส่วนนี้หนังสื่อถึงบทบาทของพ่อแม่ได้ชัดเจน การพยายามหาหนทางที่จะปกป้องลูกๆ และช่วยลูกสาวคนโตที่หูหนวก ซึ่งเป็นอีกตัวละครที่ต้องขอชื่นชมว่าแสดงได้ดีจริง ๆ เพราะมิลลิเซ็นต์ ซิมมอนด์ ในบทเรแกน เธอคือเด็กสาวที่หูหนวกจริงๆ ซึ่งถือว่านักแสดงทุกคนทำงานกันอย่างหนักเลยทีเดียว

สำหรับใครที่ยังลังเลว่าควรดูดีหรือไม่ หรือไม่เคยดูหนังแนวระทึกขวัญกดดันความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ขอแนะนำให้ลองเปิดใจให้กับเรื่องนี้ดูนะ รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

 

Enchanted มหัศจรรย์รักข้ามภพ หนังรักอารมณ์ดีที่ต้องดู

วันนี้เราจะพาคุณกระโดดข้ามภพ ข้ามกาลเวลา มารู้จักกับภาพยนตร์กึ่งอนิเมชั่นสัญชาติอเมริกัน ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยาย สไตล์โรแมนติกคอมเมดี้ชื่อดัง สุดคลาสสิก อำนวยการสร้างโดยวอลด์ดิสนีย์พิคเจอร์ส และโจเซฟสันเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เข้าฉายในไทยเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 เป็นภาพยนตร์ที่ใช้เพลงประกอบรวม ๆ แล้วประมาณ 15 เพลงด้วยกัน แถมยังใช้นักแสดงนำในการขับร้องอีกด้วยซึ่ง เอมี่ อาดัมส์ ก็ทำออกมาได้ดีมากจริง ๆ

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่มีชื่อว่า ดินแดนแอนดาเลเชีย ที่ปกครองด้วยราชินีแม่มดมีนามว่า นาลิสซ่า พร้อมทั้งเจ้าชาย เอ็ดเวิร์ด ลูกบุญธรรมของเธอ อีกทั้งยังมีหญิงสาวผู้บริสุทธิ์และแสนงดงามอาศัยอยู่ นางมีชื่อว่า จีเซล (เอมี่ อาดัมส์) เธอเป็นหญิงสาวที่มีเสียงไพเราะน่าฟังที่สุดในดินแดนแห่งนี้ และยังสามารถสื่อสารกับบรรดาสัตว์ทุกชนิดในแอนดาเลเชียได้อีกด้วย ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของจีเซลคือ การได้พบเจ้าชาย เธอเชื่อว่ารักแท้นั้นสวยงาม ฉากนี้ทำออกมาได้น่าประทับใจมาก ด้วยการขับร้องเป็นบทเพลง ในขณะที่จีเซลกับบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ช่วยกันตกแต่งร่างของเจ้าชายที่เธอพบเจอในความฝัน พร้อมกับประโยคสุดโรแมนติกที่ว่า “เมื่อเราพบใครสักคนที่สร้างมาเพื่อเรา ก่อนจะได้เคียงคู่กับเขา ต้องทำสิ่งที่สำคัญ นั่นคือจุมพิตแห่งรักแท้” เรียกได้ว่าเป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มีต่อความรักที่สวยงามจริง ๆ แม้เธอจะไม่เคยได้พบเจ้าชายมาก่อนเลยก็ตาม และเมื่อทั้งสองได้พบกันจากเสียงเพลงที่ไพเราะนั้น ก็ตกลงปลงใจ ที่จะแต่งงานกันในวันรุ่งขึ้นทันที เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้ยากมากในชีวิตจริง สำหรับการแต่งงานกับคนที่เพิ่งได้เจอกันแค่วันเดียว แต่ประเด็นนี้ก็ไม่ได้ทำให้หนังสนุกน้อยลงเลย

เมื่อราชินีรู้ข่าวว่าเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด และหญิงสาวแสนสวยตกลงจะแต่งงานกัน นางเลยกลัวว่าหญิงสาวผู้นั้นจะมาแย่งตำแหน่งราชินีไป จึงล่อลวงให้จีเซลว่าที่เจ้าหญิงคนใหม่ ไปอธิษฐานขอพรที่น้ำตกวิเศษ ก่อนจะเข้าพิธีแต่งงาน จากนั้นก็ผลักเธอลงไปในเหวน้ำตก พร้อมทั้งร่ายมนต์ให้จีเซลต้องตกไปอยู่ในสถานที่ ซึ่งไม่มีความสุขตลอดกาล ซึ่งที่นั่นก็คือโลกหรือสังคมในปัจจุบันของเรานั่นเอง เนื้อเรื่องพยายามสื่อถึงความวุ่นวาย อิจฉาริษยา และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในทุกสมัย แล้วเรื่องราววุ่น ๆ ก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อจีเซลต้องข้ามภพมากลายเป็นมนุษย์ และบังเอิญได้พบการชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยให้เธอรอดพ้นจากคืนอันโหดร้าย อีกทั้งพยายามช่วยเธอหาทางกลับไปงานแต่งงานให้ทันอีกด้วย

เรื่องราวจะลงเอยอย่างไร เมื่อเธอต้องเลือกระหว่างความรักในเทพนิยายที่รักกันด้วยบทเพลง กับความรักในโลกปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยความจริงใจและอุปสรรคอีกมากมาย ตามไปให้กำลังใจเธอได้ใน Enchanted มหัศจรรย์รักข้ามภพ

 

Rise Of The Guardians ห้าเทพผู้พิทักษ์

วันนี้เราจะมาแนะนำภาพยนตร์อนิเมชั่นงานดี งานสนุก ที่มาพร้อมเทศกาลแห่งความสุขของเด็กๆ เป็นอีกหนึ่งผลงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากค่าย ดรีมเวิร์ค เข้าฉายเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 เรียกได้ว่าเป็นหนังที่สร้างความประทับใจในเทศกาลคริสต์มาสที่ดีมาก ๆ จนได้รับรางวัล แซทเทิลไลท์ อวอร์ด สาขาภาพยนตร์อนิเมชั่น หรือสื่อผสมยอดเยี่ยม ด้วยเรื่องราวที่จะทำให้คุณอบอุ่นหัวใจ เมื่อดูแล้วเหมือนได้เติมไฟแห่งความเชื่อ และความหวังเหมือนวัยเด็ก ให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง

เรื่องราวเริ่มต้นที่ใต้ธารน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ พร้อมร่างของเด็กหนุ่มที่ฟื้นคืนชีพจากความตาย ด้วยการเลือกสรรของบุรุษแห่งดวงจันทร์ และได้ให้ชื่อเขาว่า แจ็คฟรอสต์ (ให้เสียงโดย คริสต์ไพน์) พร้อมทั้งทำให้เขามีพลังพิเศษในการความคุมความหนาวเย็น มีพลังสร้างเกร็ดน้ำแข็ง และหิมะ แต่ แจ็ค ฟรอสต์ ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตัวเองในช่วงเวลาก่อนหน้านี้หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว เขาจึงพยายามหาร่องรอยความทรงจำนั้น และหาเหตุผลที่บุรุษแห่งดวงจันทร์เลือกเขา ให้ได้มีพลังวิเศษเหล่านี้ อีกทั้งความโดดเดี่ยวที่ไม่มีผู้คนรู้จัก หรือศรัทธาในตัวเขาแม้แต่คนเดียว เพราะคิดว่า แจ็ค ฟรอสต์ เป็นเพียงตำนานไม่มีอยู่จริง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกหมดหวังในตัวเองอย่างมาก เป็นฉากที่สะท้อนสังคมในแง่ที่ว่า เราทุกคนล้วนที่ต้องการเป็นที่ยอมรับของสังคม แม้เพียงคนเดียวที่มองเห็นคุณค่าในตัวเรา ก็จะทำให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ซึ่งสามารถสื่อสารเรื่องราวสะท้อนสังคมออกมาได้ดีจริง ๆ

เหล่าบรรดาเทพผู้พิทักษ์ เช่น ซานตาคลอส กระต่ายอีสเตอร์ หรือแม้กระทั้งนางฟ้าฟันน้ำนม และตำนานของเทศกาลในวัยเด็ก กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยบทบาทหน้าที่ ที่คอยปกป้องคุ้มครองความฝัน และความหวังของเด็ก ๆไม่ให้ พิทช์แบล็ค หรือ บูกี้แมนเจ้าแห่งความฝันร้าย มาทำลายความฝันและความเชื่อของเด็ก ๆได้ เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่ได้เน้นช่วงของปัญหาต่าง ๆ แบบลงลึกมากนัก อาจจะเป็นเพราะมีตัวละครหลายตัวที่ต้องกระจายบทให้ทั่วถึง จึงทำให้รายละเอียดของตัวละครนั้นน้อยลง แต่การจัดช่วงเวลาให้ตัวละครมีบทบาทในเรื่อง ก็ทำออกมาได้ดีจนต้องยกนิ้วให้ ไม่มีฉากที่ทำให้รู้สึกอึดอัดหรือไร้ประโยชน์มากนัก

ใครที่กำลังมองหาการ์ตูนดี ๆ สักเรื่องไว้ดูกับครอบครัว หรือเอาไว้ดูแก้เครียดอยู่ละก็แนะนำว่าลองเปิดใจให้กับ Rise Of The Guardians ห้าเทพผู้พิทักษ์ แล้วคุณจะได้ทั้งข้อคิดใหม่ ๆ และเติมพลังใจให้กลับมาสู้ต่ออย่างเหลือเชื่อ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน

 

The Boss Baby เรื่องราวของเบบี่ที่ดูแล้วแฮปปี้ทั้งครอบครัว

การ์ตูนอนิเมชั่นสุดน่ารักของค่าย ดรีมเวิร์ค ที่การันตีคุณภาพจากผู้กำกับชื่อดังอย่าง ทอม แมคเกรท เข้าฉายในไทยเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2017 และได้กระแสการตอบรับที่ดีเกินคาด ด้วยสไตล์หนังที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อให้เด็ก ๆ ดูเท่านั้น เนื้อเรื่องจึงมีการโชว์ความน่ารักอย่างโดดเด่นของตัวละคร มีทั้งฉากสนุกสนาน ฉากให้ข้อคิด และฉากที่จะทำให้คุณประทับแบบลืมไม่ลงเลยล่ะ

เปิดฉากเล่าเรื่องด้วยการผจญภัยในดินแดนแห่งจินตนาการสุดสร้างสรรค์ของ ทิโมธี เท็มเบลตัน หรือ ทิม (ให้เสียงโดย Miles Christopher Bakshi) อายุ 7 ขวบ พร้อมประโยคที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจกับหลาย ๆ คน ตัวละครพยายามจะแสดงให้เห็นว่าตอนเด็กนั้นจินตนาการเป็นของเรา ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงความถูกผิดใด ๆ ทิมมีช่วงเวลาที่แสนมีความสุข ได้ฟังเพลงพิเศษ และได้รับอ้อมกอดที่อบอุ่นในทุก ๆ คืน แต่แล้วจู่ ๆ พ่อเท็ด (ให้เสียงโดย Jimmy Kimmel) และแม่เจนิซ (ให้เสียงโดย Lisa Kudrow) ก็ถามว่าทิมอยากจะมีน้องชายสักคนหรือเปล่า ถึงแม้ว่าเขาจะตอบไปว่าการเป็นลูกคนเดียวนั้นมีความสุขแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้การตัดสินใจที่อยากจะมีลูกชายอีกคนหนึ่งของพ่อและแม่เปลี่ยนไป

ตัดภาพมาที่ฝั่งของบริษัทผลิตทารก ที่วาดลายเส้นได้สบายตาและน่ารักสุด ๆ รางเคลื่อนย้ายเบบี๋รูปร่างคล้ายกระดานลื่นขนาดใหญ่ ที่เรียกได้ว่าผู้ใหญ่เห็นแล้วก็อยากที่จะลองเล่นกันสักครั้งเลยทีเดียว ใช้สปริงเด้งในการแบ่งเพศชายหญิง และคัดเลือกครอบครัวโดยการหาจุดที่บรรดาทารกนั้นจะรู้สึกบ้าจี้ ส่วนเบบี๋คนไหนที่มีข้อแตกต่างจากคนอื่น ก็จะถูกส่งตัวเข้าไปทำงานในออฟฟิตของบริษัทผลิตทารกทันที เกิดมายังไม่ทันได้เป็นเด็กเล่นซนตามวัย ก็ต้องใส่สูทผูกไทต์กลายเป็นผู้ใหญ่ซะอย่างนั้น น่าสงสารจริง ๆ

แล้ววันแรกที่ครอบครัวเท็มเบลตันจะมีสมาชิกเพิ่มอีกคนหนึ่งก็มาถึง เมื่อจู่ ๆ ก็มีแท็กซี่มาจอดที่หน้าบ้านของทิม พร้อมกับมีเด็กทารกที่ใส่สูท และถือกระเป๋าสีดำใบใหญ่ แถมยังโชว์สเต็ปการแดนซ์ขั้นเทพ ลงมาจากรถอีก หลังจากบอสเบบี๋เข้ามาอยู่ในครอบครัวของทิม บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไป ทุกคนหัวหมุนอยู่กับการดูแลทารกน้อย และยังมีเวลาให้ทิมน้อยลง จนทิมเริ่มรู้สึกน้อยใจ ทุก ๆ พื้นที่ที่เคยเป็นของเขา ตอนนี้กลับถูกใช้เป็นที่วางของเล่น ของเจ้าหนูเบบี๋ไปซะหมด เป็นอีกฉากที่ทำให้รู้สึกจุกได้ดีเช่นกัน เพราะปัญหาที่เด็กรู้สึกว่าได้รับความรักอย่างไม่เท่าเทียมนั้นเกิดขึ้นจริง กับสังคมสมัยนี้ในหลายครอบครัว เนื้อเรื่องก็แก้ปัญหาได้ด้วยวิธีที่อบอุ่นหัวใจมากเลยทีเดียว

เรียกได้ว่าเป็นอนิเมชั่นที่ครบรสจริง ๆ ทั้งเรื่องราวการแบ่งปันความรักต่อคนในครอบครัว มิตรภาพระหว่างเพื่อนพ้องน้องพี่ และเรื่องราวการผจญภัยอีกมากมาย ที่จะทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นอบอวลไปด้วยความน่ารักของทุกตัวละครในเรื่อง และได้แรงบันดาลใจอย่างล้นหลามแน่นอน บอกเลยว่าเรื่องนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด