Enchanted มหัศจรรย์รักข้ามภพ หนังรักอารมณ์ดีที่ต้องดู

วันนี้เราจะพาคุณกระโดดข้ามภพ ข้ามกาลเวลา มารู้จักกับภาพยนตร์กึ่งอนิเมชั่นสัญชาติอเมริกัน ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยาย สไตล์โรแมนติกคอมเมดี้ชื่อดัง สุดคลาสสิก อำนวยการสร้างโดยวอลด์ดิสนีย์พิคเจอร์ส และโจเซฟสันเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เข้าฉายในไทยเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 เป็นภาพยนตร์ที่ใช้เพลงประกอบรวม ๆ แล้วประมาณ 15 เพลงด้วยกัน แถมยังใช้นักแสดงนำในการขับร้องอีกด้วยซึ่ง เอมี่ อาดัมส์ ก็ทำออกมาได้ดีมากจริง ๆ

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่มีชื่อว่า ดินแดนแอนดาเลเชีย ที่ปกครองด้วยราชินีแม่มดมีนามว่า นาลิสซ่า พร้อมทั้งเจ้าชาย เอ็ดเวิร์ด ลูกบุญธรรมของเธอ อีกทั้งยังมีหญิงสาวผู้บริสุทธิ์และแสนงดงามอาศัยอยู่ นางมีชื่อว่า จีเซล (เอมี่ อาดัมส์) เธอเป็นหญิงสาวที่มีเสียงไพเราะน่าฟังที่สุดในดินแดนแห่งนี้ และยังสามารถสื่อสารกับบรรดาสัตว์ทุกชนิดในแอนดาเลเชียได้อีกด้วย ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของจีเซลคือ การได้พบเจ้าชาย เธอเชื่อว่ารักแท้นั้นสวยงาม ฉากนี้ทำออกมาได้น่าประทับใจมาก ด้วยการขับร้องเป็นบทเพลง ในขณะที่จีเซลกับบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ช่วยกันตกแต่งร่างของเจ้าชายที่เธอพบเจอในความฝัน พร้อมกับประโยคสุดโรแมนติกที่ว่า “เมื่อเราพบใครสักคนที่สร้างมาเพื่อเรา ก่อนจะได้เคียงคู่กับเขา ต้องทำสิ่งที่สำคัญ นั่นคือจุมพิตแห่งรักแท้” เรียกได้ว่าเป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มีต่อความรักที่สวยงามจริง ๆ แม้เธอจะไม่เคยได้พบเจ้าชายมาก่อนเลยก็ตาม และเมื่อทั้งสองได้พบกันจากเสียงเพลงที่ไพเราะนั้น ก็ตกลงปลงใจ ที่จะแต่งงานกันในวันรุ่งขึ้นทันที เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้ยากมากในชีวิตจริง สำหรับการแต่งงานกับคนที่เพิ่งได้เจอกันแค่วันเดียว แต่ประเด็นนี้ก็ไม่ได้ทำให้หนังสนุกน้อยลงเลย

เมื่อราชินีรู้ข่าวว่าเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด และหญิงสาวแสนสวยตกลงจะแต่งงานกัน นางเลยกลัวว่าหญิงสาวผู้นั้นจะมาแย่งตำแหน่งราชินีไป จึงล่อลวงให้จีเซลว่าที่เจ้าหญิงคนใหม่ ไปอธิษฐานขอพรที่น้ำตกวิเศษ ก่อนจะเข้าพิธีแต่งงาน จากนั้นก็ผลักเธอลงไปในเหวน้ำตก พร้อมทั้งร่ายมนต์ให้จีเซลต้องตกไปอยู่ในสถานที่ ซึ่งไม่มีความสุขตลอดกาล ซึ่งที่นั่นก็คือโลกหรือสังคมในปัจจุบันของเรานั่นเอง เนื้อเรื่องพยายามสื่อถึงความวุ่นวาย อิจฉาริษยา และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในทุกสมัย แล้วเรื่องราววุ่น ๆ ก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อจีเซลต้องข้ามภพมากลายเป็นมนุษย์ และบังเอิญได้พบการชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยให้เธอรอดพ้นจากคืนอันโหดร้าย อีกทั้งพยายามช่วยเธอหาทางกลับไปงานแต่งงานให้ทันอีกด้วย

เรื่องราวจะลงเอยอย่างไร เมื่อเธอต้องเลือกระหว่างความรักในเทพนิยายที่รักกันด้วยบทเพลง กับความรักในโลกปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยความจริงใจและอุปสรรคอีกมากมาย ตามไปให้กำลังใจเธอได้ใน Enchanted มหัศจรรย์รักข้ามภพ

 

Rise Of The Guardians ห้าเทพผู้พิทักษ์

วันนี้เราจะมาแนะนำภาพยนตร์อนิเมชั่นงานดี งานสนุก ที่มาพร้อมเทศกาลแห่งความสุขของเด็กๆ เป็นอีกหนึ่งผลงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพจากค่าย ดรีมเวิร์ค เข้าฉายเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 เรียกได้ว่าเป็นหนังที่สร้างความประทับใจในเทศกาลคริสต์มาสที่ดีมาก ๆ จนได้รับรางวัล แซทเทิลไลท์ อวอร์ด สาขาภาพยนตร์อนิเมชั่น หรือสื่อผสมยอดเยี่ยม ด้วยเรื่องราวที่จะทำให้คุณอบอุ่นหัวใจ เมื่อดูแล้วเหมือนได้เติมไฟแห่งความเชื่อ และความหวังเหมือนวัยเด็ก ให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง

เรื่องราวเริ่มต้นที่ใต้ธารน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ พร้อมร่างของเด็กหนุ่มที่ฟื้นคืนชีพจากความตาย ด้วยการเลือกสรรของบุรุษแห่งดวงจันทร์ และได้ให้ชื่อเขาว่า แจ็คฟรอสต์ (ให้เสียงโดย คริสต์ไพน์) พร้อมทั้งทำให้เขามีพลังพิเศษในการความคุมความหนาวเย็น มีพลังสร้างเกร็ดน้ำแข็ง และหิมะ แต่ แจ็ค ฟรอสต์ ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตัวเองในช่วงเวลาก่อนหน้านี้หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว เขาจึงพยายามหาร่องรอยความทรงจำนั้น และหาเหตุผลที่บุรุษแห่งดวงจันทร์เลือกเขา ให้ได้มีพลังวิเศษเหล่านี้ อีกทั้งความโดดเดี่ยวที่ไม่มีผู้คนรู้จัก หรือศรัทธาในตัวเขาแม้แต่คนเดียว เพราะคิดว่า แจ็ค ฟรอสต์ เป็นเพียงตำนานไม่มีอยู่จริง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกหมดหวังในตัวเองอย่างมาก เป็นฉากที่สะท้อนสังคมในแง่ที่ว่า เราทุกคนล้วนที่ต้องการเป็นที่ยอมรับของสังคม แม้เพียงคนเดียวที่มองเห็นคุณค่าในตัวเรา ก็จะทำให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ซึ่งสามารถสื่อสารเรื่องราวสะท้อนสังคมออกมาได้ดีจริง ๆ

เหล่าบรรดาเทพผู้พิทักษ์ เช่น ซานตาคลอส กระต่ายอีสเตอร์ หรือแม้กระทั้งนางฟ้าฟันน้ำนม และตำนานของเทศกาลในวัยเด็ก กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยบทบาทหน้าที่ ที่คอยปกป้องคุ้มครองความฝัน และความหวังของเด็ก ๆไม่ให้ พิทช์แบล็ค หรือ บูกี้แมนเจ้าแห่งความฝันร้าย มาทำลายความฝันและความเชื่อของเด็ก ๆได้ เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่ได้เน้นช่วงของปัญหาต่าง ๆ แบบลงลึกมากนัก อาจจะเป็นเพราะมีตัวละครหลายตัวที่ต้องกระจายบทให้ทั่วถึง จึงทำให้รายละเอียดของตัวละครนั้นน้อยลง แต่การจัดช่วงเวลาให้ตัวละครมีบทบาทในเรื่อง ก็ทำออกมาได้ดีจนต้องยกนิ้วให้ ไม่มีฉากที่ทำให้รู้สึกอึดอัดหรือไร้ประโยชน์มากนัก

ใครที่กำลังมองหาการ์ตูนดี ๆ สักเรื่องไว้ดูกับครอบครัว หรือเอาไว้ดูแก้เครียดอยู่ละก็แนะนำว่าลองเปิดใจให้กับ Rise Of The Guardians ห้าเทพผู้พิทักษ์ แล้วคุณจะได้ทั้งข้อคิดใหม่ ๆ และเติมพลังใจให้กลับมาสู้ต่ออย่างเหลือเชื่อ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน

 

The Boss Baby เรื่องราวของเบบี่ที่ดูแล้วแฮปปี้ทั้งครอบครัว

การ์ตูนอนิเมชั่นสุดน่ารักของค่าย ดรีมเวิร์ค ที่การันตีคุณภาพจากผู้กำกับชื่อดังอย่าง ทอม แมคเกรท เข้าฉายในไทยเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2017 และได้กระแสการตอบรับที่ดีเกินคาด ด้วยสไตล์หนังที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อให้เด็ก ๆ ดูเท่านั้น เนื้อเรื่องจึงมีการโชว์ความน่ารักอย่างโดดเด่นของตัวละคร มีทั้งฉากสนุกสนาน ฉากให้ข้อคิด และฉากที่จะทำให้คุณประทับแบบลืมไม่ลงเลยล่ะ

เปิดฉากเล่าเรื่องด้วยการผจญภัยในดินแดนแห่งจินตนาการสุดสร้างสรรค์ของ ทิโมธี เท็มเบลตัน หรือ ทิม (ให้เสียงโดย Miles Christopher Bakshi) อายุ 7 ขวบ พร้อมประโยคที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจกับหลาย ๆ คน ตัวละครพยายามจะแสดงให้เห็นว่าตอนเด็กนั้นจินตนาการเป็นของเรา ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงความถูกผิดใด ๆ ทิมมีช่วงเวลาที่แสนมีความสุข ได้ฟังเพลงพิเศษ และได้รับอ้อมกอดที่อบอุ่นในทุก ๆ คืน แต่แล้วจู่ ๆ พ่อเท็ด (ให้เสียงโดย Jimmy Kimmel) และแม่เจนิซ (ให้เสียงโดย Lisa Kudrow) ก็ถามว่าทิมอยากจะมีน้องชายสักคนหรือเปล่า ถึงแม้ว่าเขาจะตอบไปว่าการเป็นลูกคนเดียวนั้นมีความสุขแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้การตัดสินใจที่อยากจะมีลูกชายอีกคนหนึ่งของพ่อและแม่เปลี่ยนไป

ตัดภาพมาที่ฝั่งของบริษัทผลิตทารก ที่วาดลายเส้นได้สบายตาและน่ารักสุด ๆ รางเคลื่อนย้ายเบบี๋รูปร่างคล้ายกระดานลื่นขนาดใหญ่ ที่เรียกได้ว่าผู้ใหญ่เห็นแล้วก็อยากที่จะลองเล่นกันสักครั้งเลยทีเดียว ใช้สปริงเด้งในการแบ่งเพศชายหญิง และคัดเลือกครอบครัวโดยการหาจุดที่บรรดาทารกนั้นจะรู้สึกบ้าจี้ ส่วนเบบี๋คนไหนที่มีข้อแตกต่างจากคนอื่น ก็จะถูกส่งตัวเข้าไปทำงานในออฟฟิตของบริษัทผลิตทารกทันที เกิดมายังไม่ทันได้เป็นเด็กเล่นซนตามวัย ก็ต้องใส่สูทผูกไทต์กลายเป็นผู้ใหญ่ซะอย่างนั้น น่าสงสารจริง ๆ

แล้ววันแรกที่ครอบครัวเท็มเบลตันจะมีสมาชิกเพิ่มอีกคนหนึ่งก็มาถึง เมื่อจู่ ๆ ก็มีแท็กซี่มาจอดที่หน้าบ้านของทิม พร้อมกับมีเด็กทารกที่ใส่สูท และถือกระเป๋าสีดำใบใหญ่ แถมยังโชว์สเต็ปการแดนซ์ขั้นเทพ ลงมาจากรถอีก หลังจากบอสเบบี๋เข้ามาอยู่ในครอบครัวของทิม บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไป ทุกคนหัวหมุนอยู่กับการดูแลทารกน้อย และยังมีเวลาให้ทิมน้อยลง จนทิมเริ่มรู้สึกน้อยใจ ทุก ๆ พื้นที่ที่เคยเป็นของเขา ตอนนี้กลับถูกใช้เป็นที่วางของเล่น ของเจ้าหนูเบบี๋ไปซะหมด เป็นอีกฉากที่ทำให้รู้สึกจุกได้ดีเช่นกัน เพราะปัญหาที่เด็กรู้สึกว่าได้รับความรักอย่างไม่เท่าเทียมนั้นเกิดขึ้นจริง กับสังคมสมัยนี้ในหลายครอบครัว เนื้อเรื่องก็แก้ปัญหาได้ด้วยวิธีที่อบอุ่นหัวใจมากเลยทีเดียว

เรียกได้ว่าเป็นอนิเมชั่นที่ครบรสจริง ๆ ทั้งเรื่องราวการแบ่งปันความรักต่อคนในครอบครัว มิตรภาพระหว่างเพื่อนพ้องน้องพี่ และเรื่องราวการผจญภัยอีกมากมาย ที่จะทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นอบอวลไปด้วยความน่ารักของทุกตัวละครในเรื่อง และได้แรงบันดาลใจอย่างล้นหลามแน่นอน บอกเลยว่าเรื่องนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด

 

ย้อนรอยดูหนังเก่า Jumanji (1995) จูแมนจี้ เกมดูดโลกมหัศจรรย์

หลังจากที่เพิ่งได้ดูจูแมนจี้ 2017 เมื่อไม่นานมานี้และรู้มาว่าเคยมี จูแมนจี้ปี 1995 จึงได้ลองไปหาดูและถือได้ว่าเป็นหนังที่ทำให้รู้สึกอยากย้อนกลับไปเป็นเด็กเล่นเกมกระดานสุดคลาสสิคอีกเหมือนกัน แล้วอยากให้มีอะไรออกมาเหมือนในหนังบ้างเหมือนกัน และถึงแม้จะเป็นหนังเก่าcg เอฟเฟคต่างๆอาจจะไม่เท่าปัจจุบัน แต่ก็นับว่าย้อนวัยเหมือนกลับไปเป็นเด็กตอนนั่งดูหนังเหมือนกัน

Continue reading “ย้อนรอยดูหนังเก่า Jumanji (1995) จูแมนจี้ เกมดูดโลกมหัศจรรย์”

ลุ้นรักฉบับเพื่อนสนิท ฟินตลอดเรื่อง “Love Rosie”

ใครชอบความรักกุ๊กกิ๊ก จิกหมอนฟิน ยิ้มอิ่มเอมตลอดเรื่อง ต้องไม่พลาดภาพยนตร์สุดโรแมนติก ที่สร้างจาก      นวนิยายรักขายดีระดับโลก “Where Rainbows End” ที่ได้นักแสดงวัยรุ่นขวัญใจมหาชน ลิลลี่ คอลลินส์ จาก Mortal Instruments และ แซม คลาฟลิน The Hunger Games : Catching Fire มารับบทเพื่อนสนิทแอบรัก กิ๊กกัก! ใน “Love Rosie “(2014)

“Love Rosie” เป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ของเพื่อนซี้ มองตาก็รู้ใจ โรซี่ ดันน์ (ลิลลี่ คอลลินส์) กับ อเล็กซ์ สจ็วต (แซม คลาฟลิน) เพื่อนสนิทคิดไม่ค่อยซื่อ พวกเขาเติบโตใช้ชีวิตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนโต เตรียมวางแผนจะไปเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันที่อเมริกา แต่แล้วแผนที่วางไว้ก็ส่งสลายหายไป ด้วยคืนปาร์ตี้สุดเหวี่ยงคืนหนึ่ง ทำให้โรซี่ พลาดท่าเสียทีจนตั้งครรภ์เธอเลยเลือกที่จะปล่อยให้อเล็กซ์ไปมีชีวิตใหม่ที่อเมริกาโดยที่ไม่มีเธอ วันเวลาผ่านไปทั้งสองได้โคจรกลับมาพบกันอีกครั้ง อเล็กซ์ เรียนแพทย์และได้แฟนสาวสวยใช้ชีวิตในเมือง ส่วนโรซี่ ทำงานในโรงแรมเลี้ยงลูกคนเดียวอยู่บ้านเกิด ทั้งสองต้องพบกับบทเรียนใหม่ หาคำตอบให้กับตัวเอง ว่าความสัมพันธ์นี้จะจบลงด้วยคำว่าเพื่อนหรือไม่ ??

“โรซี่ ดันน์”คุณแม่วัยทีนที่ทิ้งความฝันเพื่อลูกรัก

โรซี่ ดันน์ ได้ดาราสาว ลิลลี่ คอลลินส์ มาสวมบทบาทสาววัยรุ่นคึกคะนอง ไม่รู้ใจตัวเองที่พลาดท่าเสียทีจนกลายเป็นคุณแม่มือใหม่ ถึงแม้ว่าจะอยากตามอเล็กซ์ไปเรียนและใช้ชีวิตสวยหรูตามที่ฝัน แต่เมื่อต้องเลือก ในที่สุดเธอก็เลือกที่จะเลี้ยงลูกเอง ไม่ยกให้กับบ้านเด็กสงเคราะห์ และใช้ชีวิตเฝ้าดูการเติบโตของเจ้าตัวน้อยที่เมืองบ้านเกิดด้วยความรัก โรซี่ เป็นต้นแบบคุณแม่วัยทีนที่หายากในยุคนี้ และเป็นตัวอย่างของวัยรุ่นหลาย ๆ คนที่มีความฝันแต่ผิดแพลน เพราะการตั้งครรภ์

สำหรับเนื้อเรื่องของ Love Rosie ไม่ได้ผิดแปลกไปจากหนังสือเท่าไรนัก ดูง่ายไม่ซับซ้อน เล่าเรื่องแบบง่าย ๆ ดูแล้วครบทุกรสชาติ อบอุ่นหัวใจ น่ารักโรแมนติก หรือจะเอาซีนอารมณ์ก็ทำได้ไม่เลว โรซี่กับอเล็กซ์ รับส่งบทกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ สับสนไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง ดูแล้วแอบรักตามเลยทีเดียว

ความเก๋อีกอย่างคือการแฝงการเติบโต (Coming of Age) ของวัยรุ่น และการใช้ชีวิตผ่านคู่พระนางได้อย่างลงตัว เห็นภาพมาก ๆ แต่ที่แอบอึดอัดใจนิดหน่อย คือความลุ้นว่าเมื่อไหร่คู่พระนางจะลงเอยกันสักที คลาดกันไปมา ลุ้นเหนื่อยมาก ๆ จนคิดว่าอาจจะไม่ลงเอยกันซะแล้ว ส่วนเพลงประกอบจากภาพยนตร์โดดเด่นหลายเพลง โดยเฉพาะเพลง Fuck You (Lily Allen) น่ารักทะเล้นมาก ๆ  ถ้าใครแอบรักเพื่อนสนิท ก็รีบตามหาคำตอบให้หัวใจตัวเองกันนะ
คะแนน : B

หนังโปรดในดวงใจ”Alice in Wonderland” ฉบับ ทิม เบอร์ตัน  

ดิ่งลึกไปโพรงกระต่ายอีกครั้ง กับหนังรีเมครอบที่ล้านแปด กลับมาคราวนี้  “Alice in Wonderland” (2010) ถูกรังสรรค์ให้กลับมามีชีวิต โดยผู้กำกับที่มีสไตล์ไม่เหมือนใคร “ทิม เบอร์ตัน” พูดได้เลยว่าเป็นอลิซในเวอร์ชั่นที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง และบันเทิงที่สุดตั้งแต่ได้ชมมา ถ้าใครยังไม่ได้ดู ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง!

การผจญภัยของ“อลิซ”(มีอา วาซิโควสกา) ในวัย 19 ปี เริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอตกลงไปในโพรงกระต่ายอีกครั้ง พร้อมกับความทรงจำในวัยเด็กที่หายไป เธอจำผู้คนและเรื่องราวของอันเดอร์แลนด์ไม่ได้แม้แต่น้อย แต่เธอก็ได้พบ แมด แฮทเทอร์ ช่างทำหมวกจอมเพี้ยน (จอห์นนี่ เดปป์) , หนอนผีเสื้อผู้รอบรู้ แอ๊บโซเลม, ราชินีขาว (แอน แฮทธาเวย์) เชสเชียร์ แคท แมววิเศษณ์จอมเจ้าเล่ห์ ฯลฯ ขณะเดียวกันระหว่างที่เธอไม่อยู่ “อันเดอร์แลนด์” ดินแดนที่เคยสงบสุข ในตอนนี้ถูกปกครองโดยราชินีแดงจอมโหด (เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์) ประชาชนถูกกดขี่ ไร้ความสุข และรอคอยอลิซกลับมาอีกครั้ง อลิซจึงออกเดินทางตามหาความทรงจำวัยเด็กที่หายไป พร้อมกับช่วยอันเดอร์แลนด์ให้กลับมาสงบสุขอีกครั้ง

Alice in Wonderland แบบ ทิม เบอร์ตัน ดำมืด ล้ำลึก น่าค้นหา

                ทิม เบอร์ตัน ลงมือกำกับเองทั้งที ทำให้เราได้ดูอลิซในมิติที่แปลกไปกว่าเดิม ตั้งแต่เนื้อหาเรื่องที่ไม่ได้ถูกรีเมค เหมือนก่อน ๆ แต่เป็นการเล่าถึงอลิซในอีกวัยหนึ่ง ที่เติบโตขึ้นและสับสนเรื่องราวในวัยเด็ก ลังเลว่าเรื่องที่เกิดมันจริงหรือฝันกันแน่? ดำมืดกว่าทุกภาค ภาพและสีสันก็แบบ ทิม เบอร์ตันมาก ๆ ใครจะเหมือนได้อีก

จอห์นนี เดปป์ แปลงโฉมได้เนียนเวอร์อีกครั้งในบท “แมด แฮทเทอร์”

                เสน่ห์ของอลิซในเวอร์ชันนี้ ที่ขาดไม่ได้คงจะเป็นการแปลงร่างของ จอห์นนี เดปป์ (คู่บุญทิม เบอร์ตัน)ที่สวมบทบาท “แมด แฮทเทอร์“ ช่างทำหมวกสุดเพี้ยนได้อย่างเต็มเหนี่ยว แทบจะจำไม่ได้  ไม่ว่าจะเป็นคอสตูม และลีลาการแสดง  ถือว่าเด็ด จนจำได้จนถึงทุกวันนี้

สำหรับเนื้อเรื่องของอลิซในเวอร์ชั่นนี้ เรียกว่าเล่าได้ดี ไม่จำเจ ลืมอลิซที่เราเคยรู้จักไปได้เลย! การเดินเรื่องครบทุกรสชาติ ตื่นตาตื่นใจ ทุกตัวละครสร้างความเซอร์ไพรส์จริง ๆ  สิ่งที่โดดเด่นคงจะเป็นงานภาพ กราฟิก CG เรื่องนี้ทำได้เยี่ยมมาก สวยงาม และมีความเป็นหนังของ ทิม เบอร์ตันจริง ๆ นอกจากนี้แล้วเพลงประกอบอย่าง “Underground” ที่ถูกขับร้องโดยสาวร็อครุ่นใหญ่ แอวริล ลาวีน ช่วยเติมเสน่ห์ให้อลิซ กลับไปผจญภัยวันเดอร์แลนด์ให้อย่างมีมิติจริง ๆ ถ้าใครที่ยังไม่ได้ดูบอกเลยว่าต้องตามเก็บด่วน

คะแนน  : B+

 “Primeval” โคตรเคี่ยมฟอร์มเล็ก ที่ไม่ได้มีดีแค่จระเข้

                เดี๋ยวนี้หนังจระเข้ งูใหญ่ไล่ล่า ไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนแต่ก่อน ออกมาแต่ละเรื่องก็จะเป็นฟอร์มเล็ก ๆ ไม่ได้เข้าโรง CG จระเข้ก็จะออกแนวตลกแทบทุกเรื่อง แต่ในบรรดาหนังสัตว์ไล่ล่าทั้งหมดที่ได้ดูมา มีอยู่เรื่องหนึ่งที่รู้สึกว่าเข้มข้นต่างจากเรื่องอื่น แถมสร้างจากเรื่องจริงนั่นคือ “Primeval”(2007) นั่นเอง

“Primeval” เล่าถึงความสยองในพื้นที่ห่างไกลของ “กุสตาฟ” จระเข้ใหญ่ยักษ์ จอมกระหายเลือดแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ เขตบุรุนดี ในแอฟริกา ที่ไล่ฆ่า กินคนกว่า 300 ชีวิต แลไม่มีวี่แววว่าจะหยุด เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ กุสตาฟ ฆ่าชีวิตนักข่าวสาวผิวขาว จนกลายเป็นข่าวฮือฮา ส่งผลให้ทีมข่าวอเมริกาถูกส่งไปทำข่าวดังกล่าว และไล่ล่ากุสตาฟตัวเป็น ๆ ให้จนได้ โดยมีโปรดิวเซอร์ ทิม ฟรีแมน (โดมินิค เพอร์เซล ), ตีฟ จอห์นสัน ( ออแลนโด โจนส์ ) ตากล้อง และ ผู้เชี่ยวชาญสัตว์ เป็นคนนำทีมข่าวลงพื้นที่เพื่อตามหาเป้าหมายของพวกเขา แต่ยิ่งตามหาพวกเขาก็ยิ่งเข้าใกล้อันตราย และปริศนาดำมืดของพื้นที่ดังกล่าว ที่ไม่ได้มีแค่จระเข้ยักษ์ที่เหี้ยมโหดเท่านั้น

Primeval ความโหดเหี้ยมไม่ได้มีแต่ในจระเข้ยักษ์!

                นอกจาก Primeval จะชูโรงด้วยจระเข้ยักษ์ “กุสตาฟ” หนังยังเล่าถึงเส้นเรื่องรอง “ลิตเติ้ล กุสตาฟ” ผู้ทรงอิทธิพลในเขตพื้นที่ ที่ไล่ล่าคนในพื้นที่อย่างเยือกเย็น โหดเหี้ยม ยิ่งกว่าสัตว์ จนได้รับฉายาตามจระเข้กุสตาฟ นอกจากระทึกจระเข้ ยังต้องมาระทึกเหตุการณ์ฆ่ายกครัว ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ปัญหาดำมืดในแทบแอฟริกาในสมัยก่อน ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ มีดีมากกว่าจระเข้ยักษ์ไล่ล่าคนไปเรื่อย กินกันจนจบเรื่อง เข้มข้นมาก ๆ

สำหรับเนื้อเรื่อง ของ Primeval โดดเด่นกว่าหนังสัตว์ไล่ล่า เรื่องอื่น ๆ นอกจากจะมีเส้นเรื่องหลักในการตามหาจระเข้แล้ว เส้นเรื่องรอง การหนีจากอันตรายของลิตเติ้ล กุสตาฟ  เข้มไม่แพ้กัน จังหวะในการไล่ล่า ก็ไม่ได้ใส่เอาเป็นเอาตาย เกลี่ยได้ดี มีช่วงพักหายใจ พร้อมกับมีเรื่องราวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาแถมให้ลุ้นกันไปอีก  นอกจากนี้เราจะได้เห็นความเชื่อของคนแถบแอฟริกา วิถีชีวิต ส่งผ่านออกมาแบบเนียน ๆ ส่วนที่มาของจระเข้น่ากลัวกว่าเรื่องอื่น ๆ เพราะสร้างมาจากเรื่องจริง ! กินจริง ตายจริง ส่วนเรื่อง CG ของจระเข้น้อย กุสตาฟนั้น ก็ไม่ได้แนบเนียนอะไรมาก แต่ก็ถือว่าทำดีกว่าจระเข้จีนแดงหลายตัวที่โลดแล่นออกมาบนแผ่นฟิล์ม

ถ้าใครชอบหนังแนวสัตว์ไล่ล่า ไล่ฆ่า ทดลองในแลปแล้วผิดสูตร ดุร้ายขยายร่าง อย่าง งูใหญ่ Anaconda 1 (1997) ฉลามโหด Jaws (1975) ก็ไม่ควรพลาดความโหดของ “กุสตาฟ” ด้วยประการทั้งปวง

เกร็ดความรู้ : “กุสตาฟ”(Gustave) เป็นจระเข้แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ ที่มีความกว่า 6 เมตร อายุยืนยาวกว่า 60 ปี ชื่อเสียงของมันคือการเป็นนักฆ่าชั้นยอด เพราะร่ำลือกันว่าฆ่าคนมากกว่า 300 คนเดียวทีเดียว เคยมีผู้พบเห็นบอกว่าลำตัวของกุสตาฟเต็มไปด้วยบาดแผลของการต่อสู้
คะแนน
: B

 “Nana” หนังดัดแปลงจากการ์ตูนอนิเมะเรื่องเดียวที่ข้าพเจ้ารัก

“นานะ จำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหม?”

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว ว่าถ้าการ์ตูนญี่ปุ่นถูกนำมาดัดแปลงเป็น ภาพยนตร์ Live Action ทีไร ตกม้าตายแทบทุกเรื่อง แต่ย้อนกลับไปเมื่อปี 2005 ก็กลายเป็นที่ฮือฮา! เมื่อภาพยนตร์ Live Action “NANA” เข้าฉายและทำรายได้ขึ้นอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น อย่างรวดเร็ว ซึ่งพอได้ดูแล้ว ขอบอกเลยว่า นานะ ฉันหลงรักเธอแล้วล่ะ!!

“นานะ” (Nana) เรื่องราวของ 2 สาวต่างบุคลิก ชื่อเดียวกัน ที่บังเอิญเจอกันรถไฟขณะที่เดินทางไปโตเกียว “โอซากิ นานะ” (มิกะ นากาชิมะ)นักร้องสาวสุดเท่ สมาชิกวง Black Stone และ“โคมัทสึ นานะ”(มิยาซากิ อาโออิ ) สาวหวาน ผู้เชื่อมั่นในความรัก  ทั้งสองได้ทำความรู้จักกันระหว่างเดินทาง ด้วยความหยิ่งยโสของนานะเท่ และความซวยของนานะหวาน ที่คู่รักไม่ยอมให้อาศัยอยู่ด้วย และไล่เธอมาหางานทำ จึงทำให้ทั้งคู่ต้องจับพลัดจับผลูมาเช่าห้องอยู่ด้วยกัน การใช้ชีวิตในโตเกียวของทั้งสองสาวเริ่มต้นขึ้นบนเส้นทางที่แตกต่าง ท่ามกลางมิตรภาพ ความรัก และเส้นทางความฝัน

นานะเท่และนานะหวาน 2 สาวบุคลิกแตกต่าง ตะลุยความฝันในโตเกียว

เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนานะ คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากความลงตัวของนานะทั้งสองคน “โอซากิ นานะ” หรือนานะเท่ สาวร็อค นักดนตรี วง Blackstone ที่เต็มไปด้วยบาดแผลในใจ ทำให้เธอเป็นคนปิดตัวเอง และมีแรงผลักดันที่จะโด่งดังจะว่า วง “Trap nest” วงที่คนรักเก่าอย่าง  “เรน” ส่วนนานะหวาน “โคมัทสึ นานะ” ก็เรียกได้ว่าสาวน้อยสดใส ผู้เชื่อมั่นในความรัก ที่มาโตเกียว เพราะว่าตามอยู่กับคนรัก หวังจะใช้ชีวิต และทำงานใกล้ ๆ คนรัก ไม่เคยเสียศรัทธาในความรัก สองสาวนานะ สร้างเสน่ห์ให้กับหนัง และสะท้อนการใช้ชีวิตของเด็กสาวชาวญี่ปุ่น ที่ส่วนใหญ่ก็มักจะจากบ้านเกิดมามุ่งหาฝันที่โตเกียว

ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องของนานะ ฉบับภาพยนตร์นี้จะไม่ได้ตรงตามเหมือนในการ์ตูนเป๊ะ ๆ แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก ไม่ได้มีเนื้อหาสำคัญส่วนไหนขาดไป ถ้าไม่ได้ดูการ์ตูนมาก่อนก็ดูได้สบายใจ การเล่าเรื่องของนานะ ดำเนินไปได้เรื่อย ๆ ถึงสับไปสับมา ก็ไม่งง ด้านการแสดงนอกจาก 2 สาวนานะแล้วตัวละครอื่น ๆ ก็เติมเต็มให้ภาพยนตร์เรื่องนานะให้สมบูรณ์ บุคลิกเหมือนหลุดออกมาจากในการ์ตูน ทั้ง “เรน” คนรักของเก่านานะ สมาชิกวง Trap nest “โนบุ” หนุ่มขี้เล่น สมาชิกวง Black Stone ผู้ศรัทธาในตัวนานะเท่ห์ ทุกตัวละคร ส่งมาออกได้ดีมาก ส่วนที่ขาดไม่ได้คือเพลงประกอบ ของนานะฉบับภาพยนตร์ เลิศทุกเพลง ไม่ได้ว่าจะเป็น glamorous sky (มิกะ นากาชิมะ), endless story ( Trapnest) ฯลฯ ถ้าอยากได้ภาพยนตร์จุดไฟฝันก็ต้อง NANA นี่แหละ เหมาะที่สุด

คะแนน : B

หนังระทึกลูกผสมหักมุมในใจตลอดกาล “Orphan”

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2009 มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องหนึ่งแบบบังเอิญ ชื่อเรื่องว่า “Orphan” โปสเตอร์ก็จะเป็นรูปเด็กผมแกะ หน้าตาน่ารักที่ไม่ค่อยจะมีพิษภัย แต่เมื่อได้ดูต้นจนจบแล้วต้องเอ่ยปากชมว่า “เยี่ยมจริง ๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ” ทั้งนักแสดง เนื้อเรื่อง ต้องยกให้เป็นหนังทริลเลอร์ ที่ 1 ในดวงใจ!!

“Orphan”  เป็นเรื่องราวของสามีภรรยา เคท (วีรา ฟาร์มิกา) และ จอห์น (ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด) ที่ศูนย์เสียลูกคนที่ 3ไประหว่างที่เคทตั้งครรภ์ ทั้งสองจึงตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กเพื่อให้ครอบครัวกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยพวกเขารับเลี้ยงเด็กสาวน่ารัก หน้าตาจิ้มลิ้ม “เอสเธอร์” วัย 9 ขวบ จากบ้านเด็กกำพร้า เด็กสาวสุดประหลาดที่มาพร้อมผ้าผูกคอมือ และชอบล็อกประตูห้อง ผมแกะ ไม่มีพิษภัยอะไรและดูเข้ากันได้ดีกับลูกคนเล็ก “แม็กซ์” ลูกสาวคนเล็กที่มีปัญหากับการได้ยิน แต่พออยู่ไปอยู่มา เรื่องราวประหลาด ก็เริ่มเกิดขึ้นในบ้าน นำไปสู่เหตุการณ์สุดระทึก

“อิซาเบล เฟอร์แมน” ผู้ทำให้เอสเธอร์กลายเป็นตำนานความโหด

                ถ้าพูดถึงหนังเรื่องนี้ ก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก “เอสเธอร์” เด็กนรกในตำนานที่ได้ อิซาเบล เฟอร์แมน นักแสดงเด็กมากความสามารถ มารับบทเอสเธอร์ การแสดงของเธอในหนังเรื่องนี้ ต้องขอยกนิ้วให้จริง ๆ ทั้งจริต มารยา อารมณ์ที่แสดงออกมา บอกเลยน่าขนลุก หักมุมยิ่งกว่า Gone Girl ตั้งแต่เปิดเรื่องมาเป็นเด็กน่ารัก จนพลิกผันเป็นฆาตกรโรคจิต การอ่อยคุณพ่อแบบเนียน ๆ โดยใช้ความเดียงสาเข้าล่อลวง บอกเลยว่าถ้าไม่ได้เธอคนนี้เล่น คิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าหนังจะออกมายังไง

สำหรับเนื้อเรื่องของ “Orphan” นั้นเป็นหนังที่ดูง่าย ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย เรื่องไปเรื่อย ๆ เหมือนจะไม่ได้มีอะไรหวือหวา หรือฆ่าเลือกสาด แต่ก็ระทึก อึดอัด ไปตลอดเรื่อง แถมตอนท้ายนี่เรียกได้ว่าหักมุมชนิดที่ใครก็คาดไม่ถึง สำหรับการแสดงก็ไม่น้อยหน้า โดยเฉพาะ ตัวภรรยา “เคท” นำแสดงโดย วีรา ฟาร์มิกา นัดแสดงสาวที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี จากจักรวาล The Conjuring  เล่นเรื่องนี้บอกเล่นว่า อินหนักมาก รับแม่ขี้เมาเพราะสูญเสียลูกที่พยายามจะกลับมาดำเนินชีวิตปกติแบบตีบทแตก สารัตถะอีกอย่างของหนังที่น่าสนใจก็คือ “ปัญหาครอบครัว” โดยเฉพาะครอบครัวที่พยายามเติมเต็มด้วยการรับอุปการะเด็ก อาจจะต้องถามตัวเองว่า “คุณพร้อมจริงหรือเปล่า? ที่จะรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม”  ถ้าได้ดูเรื่องนี้จะมีจุดที่ทำให้เข้าใจว่า “เอาลูกเอามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม” ทำไมถึงกลายเป็นความเชื่อยอดฮิต  และจะได้เห็นคุณแม่ที่มีสภาพจิตใจไม่ได้พร้อมรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม  สรุปเลยว่า ระทึกตลอดเรื่อง ใครชอบแนวทริลเลอร์ อย่าพลาดเลยจ้า

คะแนน : A

การ์ตูนสุดฮา Cloudy with a chance of Meatballs มหัศจรรย์ลูกชิ้นตกทะลุมิติ

ชีสเบอร์เกอร์…..!!

หากใครชอบการ์ตูนเบาสมองที่ดูแบบโคตรขำ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอแนะนำ การ์ตูนอนิเมชั่นแฟนตาซีจากค่าย Sony Pictures Animation (เจ้าของผลงาน Smuft, Hotel Transylvania, Emoji ) “Cloudy with a chance of Meatballs” (2010) หรือชื่อไทยสุดเพี้ยน “มหัศจรรย์ลูกชิ้นตกทะลุมิติ”สำหรับเนื้อเรื่องก็เพี้ยนไม่แพ้กัน ถ้ายิ่งดูพากย์ไทยนะ บันเทิงมาก ๆ

มหัศจรรย์ลูกชิ้นตกทะลุมิติ เป็นเรื่องราวของ “ฟลินท์ ล็อควู้ด” นักวิทยาลัยศาสตร์หนุ่มผู้ไม่เคยหยุดคิดประดิษฐ์สิ่งของใหม่ ๆ ถึงแม้ว่าสิ่งประดิษฐ์แต่ละอย่างจะไม่เคยได้รับการยอมรับและสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นไม่เคยหยุดหย่อน จนวันหนึ่งเขาก็ได้ประดิษฐ์เครื่องผลิตอาหารสุดล้ำขึ้นมาจนสำเร็จ และเกิดอุบัติเห็นจนมันลอยไปอยู่บนชั้นบรรยากาศ ทำให้ฝนตกลงมาเป็นอาหารต่าง ๆ ทั้งชีสเบอร์เกอร์ ไอศกรีม สเต็ก ฯลฯ สร้างความตื่นตาตื่นใจ ให้แก่ชาวเมืองจนเป็นข่าวดัง ทำให้เขาได้พบกับ “แซม สปาร์ค” นักข่าวสาวที่มีใจรายงานข่าวสภาพอากาศ ในขณะที่เครื่องมือสุดอัจฉริยะทำงานได้เยี่ยม จนทุกคนยอมรับ อาหารที่ตกลงมาก็เริ่มใหญ่ขึ้น กลายเป็นพายุอาหารขนาดยักษ์ที่พร้อมทลายเมืองทั่วโลก ฟลินท์และแซม จึงต้องร่วมมือกันก่อนที่พายุอาหารยักษ์จะทำลายโลกนี้จนพังพินาศ

ฟลินท์ ล็อควู้ด นักวิทยาศาสตร์ผู้ผิดพลาดแต่ไม่เคยยอมแพ้

                ตัวเอกสุดฮาอย่าง” ฟลินท์ ล็อควู้ด” ทายาทร้านขายอุปกรณ์ตกปลา เป็นตัวละครผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา ที่มีความใฝ่ฝัน อยากจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก ถึงแม้ว่าหลายครั้ง จะผิดพลาด หรือถูกดูถูกจากเพื่อน ๆ กลายเป็นตัวตลกประจำห้อง  แต่ก็ไม่เคยหยุดคิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ เพราะต้องการการยอมรับ ทำสิ่งที่ตัวเองรัก ช่วยเติมไฟให้กับคนที่กำลังท้อแท้ในการงาน การเรียนได้เป็นอย่างดี จงอย่าหยุดฝัน และทำสิ่งที่ตัวเองชอบ จนกว่าจะประสบผลสำเร็จ

Cloudy with a chance of Meatballs  กำกับโดย คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ และ ฟิล ลอร์ด 2 ผู้กำกับเพื่อนซี้ ที่เคยฝาก ผลงานไว้ใน 22 Jump Street (2014) และ The Lego Movie (2014) ทำให้ตัวหนังมีความฮา เนื้อเรื่อง ไม่ซับซ้อน ไหลไปเรื่อยๆ  มุกตลกและจังหวะให้การฮาต้องบอกว่า รักเลย !!

ตัวละครต่าง ๆ ทั้ง ฟลินท์ ล็อควู้ด, แซม, สปาร์ค, สตีพ(ลิงพูดไม่ได้ต้องใช้เครื่องช่วยแปล) หรือแม้กระทั่งพ่อของฟลินท์ เติมสีสันให้เรื่องราวเข้มข้นน่าติดตาม เรียกเสียงฮาแบบไม่มีหยุด ไอเดียของหนังสร้างสรรค์มาก หยิบเอาเรื่องใกล้ตัว อย่างอาหารออกมายำใส่กับวิทยาศาสตร์ได้อย่างลงตัว สำหรับคนที่ชอบความตลก เอาฮา แนะนำให้ดู แต่คงจะเป็นหนังที่หวังเอาสารัตถะอะไรไปมากไม่ได้ นอกจาก จงสู้ในสิ่งที่ตัวเองรัก และทำให้สำเร็จ

คะแนน : B+