10 Things I Hate About You หนังที่สอนให้นับหนึ่งถึงรัก

ถ้าคุณกำลังมองหาหนังรอมคอมเบาสมองหนักหัวใจที่ว่าด้วยชีวิตไฮสคูลสักเรื่อง หนังชื่อดังอมตะอย่าง 10 Things I Hate About You คงเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ใครหลายคนจะแนะนำ หรือกระทั่งคนที่เคยดูมาแล้วก็คงนึกอยากดูซ้ำได้อย่างไม่น่าสงสัย โยนปรัชญาความรักและจิตวิทยาใด ๆ ที่เอ่อล้นไปด้วยเอกสารมากความและวิชาการหนักหัวออกไป ภาพยนตร์แห่งความน่ารักเรื่องนี้จะจูงมือคุณไปสู่ประตูวิวาห์ที่แสนหวานฉ่ำ

องค์ประกอบของหนัง

Can’t take my eyes off you คือเพลงประกอบที่น่ารักกินใจ การจะหาเพลงไหนที่เหมาะเจาะเข้ากับเรื่องได้มากขนาดนี้คงเลือกได้ยากยิ่งและอาจไม่มีอีกแล้ว หนึ่งในฉากตำนานที่ใครหลายคนจดจำได้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือท่าทางแสนขี้เล่นของ ฮีธ เลดเจอร์ ในบทของ แพทริก หนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ของโรงเรียน กับบทกลอนที่แคตอ่านในห้องเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์แสนแสบ กับความเกลียดไม่ลงของเธอที่มีต่อชายหนุ่มผู้เป็นที่รัก ก็กลับกลายเป็นจุดสำคัญ หรือเรียกได้ว่าฉากไคลแม็กซ์ อันเป็นที่มาของชื่อเรื่องเลยก็ว่าได้

ทุกวันนี้หนังของชีวิตวัยรุ่นที่นุ่มเบาจนเหมือนความฝันแสนหวานที่ฮิต ๆ กันในเน็ตฟลิกซ์ ก็คงต้องเรียกหนังอมตะเรื่องนี้ว่ารุ่นแม่ เพราะความโด่งดังและตราตรึงของบทภาพยนตร์ที่ได้ทำเอาไว้ ความสดใสซาบซ่าของเด็กมัธยมไฮสคูลจะปลุกพลังอะไรบางอย่างในตัว ให้แก้มกลับมามีสีฝาด ให้หัวใจกลับมาเต้นผิดจังหวะ ให้มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างไร้สาเหตุอีกครั้ง ราวกับว่าเราถูกดูดเข้าไปในห้วงเวลาอันแสนหวานใสอย่างที่ตัวละครเป็นกัน

10 Things I Hate About You เติมให้เราเต็มอิ่มกับทุก ๆ องค์ประกอบในหนัง สีของฉากที่สบายตา เพลงไพเราะจับหู บทบาทของความเข้ามาตั้งใจรัก การมองเห็นและยอมรับตัวตนที่แท้จริงของคนทั้งคู่ ทำให้ถึงแม้จะดูเรียบง่ายและแสนเชย แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่ากินใจและฝังลึกลงไปในหัวมาก ๆ จนไม่แปลกใจที่มันจะถูกยกย่องให้เป็นอีกหนึ่งหนังในประวัติศาสตร์ของนักดูหนังรักที่จะห้ามพลาดโดยเด็ดขาด

ความประทับใจโดยรวม

จุดเด่นของ 10 Things I Hate About You คงหนีไม่พ้นความสดใส สดใหม่ ที่จะจุดประกายอะไร ๆ บางอย่างที่อาจด้านชาตายด้าน ให้กลับมาครึกครื้นเต็มเปี่ยมไปด้วยรักอีกครั้ง ไฟแห่งชีวิตจะถูกจุดขึ้นในทันทีที่หนังเรื่องนี้จบลง กระทั่งรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหนัง เป็นต้นว่าคอสตูมต่าง ๆ ในยุค 2000s เมื่อมาดูตอนนี้แล้วก็คงรู้สึกได้ไม่ยากว่ามันช่างมีเสน่ห์และทรงพลังอย่างที่หนังยุคใหม่คงให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป และฉากต่าง ๆ ที่หนังได้สรรค์สร้างไว้คงจะตราตรึง ติดอยู่ในใจของผู้ที่ได้ลองชมไปอีกนานแสนนาน

A Walk to remember หนังรักอมตะที่อยู่ในความทรงจำ

A Walk to remember คือหนังอีกเรื่องที่ถ้าไม่ใช่สายหนังรักจริง ๆ อาจไม่เคยได้ยินชื่อ หรือเพียงแค่มองผ่านตาแล้วก็ผ่านไปเพราะโปสเตอร์หนังที่ค่อนข้างเก่าเก็บ และไม่ดึงดูดสายตาคนปัจจุบันมากนัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ยังเป็นอีกหนึ่งตัวเต็งของหนังรักที่ดีที่สุดแห่งยุคที่ใครหลาย ๆ คนควรได้ดู และต้องบอกว่าผู้ชายอกสามศอกบางคนถึงกับต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องนี้

ก้าวแรกที่ออกเดิน

ถ้าหากดูอย่างไม่คาดหวังมาก่อน เส้นเรื่องของ A Walk to remember ดำเนินไปอย่างธรรมดาสามัญ บางคนอาจบอกว่าน้ำเน่าด้วยซ้ำ เมื่อสาวไร้ตัวตนกับหนุ่มหล่อแบดบอยได้มาร่วมหอลงโรงกัน แต่แล้วเรื่องราวเศร้า ๆ ที่ผ่ากลางความรักของคนทั้งสองคนก็กลายเป็นประเด็นที่ทำให้ A Walk to remember กลายเป็นหนังที่ถูกจำจดมากเรื่องหนึ่งทีเดียว เพราะแม้ว่าการจะดูหนังเก่า ๆ เรื่องหนึ่งเมื่อมันผ่านมานานแล้วอาจกลายเป็นว่าบางมุกบางแง่มุมในหนังจะดูเกร่อเกินกว่าเราจะเข้าใจความประทับใจแรกพบของมันได้ แต่ด้วยบทเฉิ่ม ๆ แสนธรรมดาและหาได้ทั่วไปนี้เองก็ทำให้เราพบกับความประทับใจของคนรุ่นใหม่ที่มองไปยังผลงานเก่า ๆ เช่นกัน

ตัวละครทุกตัวถูกขับออกมาให้โดดเด่นด้วยคาแรคเตอร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นรายปัจเจกไป แต่กลับกลมกล่อมและละมุนละม่อมอย่างไร้ที่ติ ความโรแมนติกที่ไหลผ่านน้ำ ร่วงลงมาพร้อมกับใบไม้ยามเย็นคือนิยามของหนังเรื่องนี้ และถึงแม้ความรักจะเปียกปอนไปด้วยน้ำตา ถูกอัดแน่นไปด้วยความโศกเศร้าผิดหวังเสียเต็มประดา อย่างไรความรักก็คือความรัก ทะนงในตนและงดงามอยู่เสมอ จนบางครั้งเผลอเอาตัวเองเข้าไปเปรียบเทียบว่าความรักได้เปลี่ยนแปลงตัวเราไปในทางที่ดีขึ้นจนทาบทับกับบทของพระเอกได้อย่างสนิท และความหมายของการแต่งงานในสายตาของผู้ชมจะเปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็น้อยเมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะในแง่ใดก็ตาม

พัฒนาการของตัวละครคืออีกสิ่งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้เล่าออกมาได้อย่างชัดเจนจนหลับตาดูก็ต้องเห็น และสิ่งนี้คือท่อนที่ขมวดปมทั้งหมด เพราะการที่เราดีขึ้นเพื่อใครสักคนก็ตาม ในนามของความรัก ก็เท่ากับว่าเราได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว

สู่ก้าวสุดท้ายในความทรงจำ

ที่ A Walk to remember เป็นอมตะได้ก็คงเพราะปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่อยู่ในตัวของมัน มีครบในทุก ๆ อย่างที่หนังรักควรจะมี เส้นเรื่องที่แข็งแกร่งน่าจดจำ ตัวละครพระเอกนางเอกที่กินใจ ตัวประกอบเรื่องราวต่าง ๆ ที่ทำให้ทุกฉากทุกตอนมีความหมาย และทั้งหมดทั้งมวลที่มัดรวมกันผ่านฟิล์มหนังแผ่นเก่า สู่สายตาของเราในยุคที่โลกหมุนไวไม่เท่าทันอินเทอร์เน็ต ความรักยังคงเป็นสิ่งแรก ๆ เสมอที่มนุษย์ไขว่คว้าวิ่งตามหา

Catch Me If You Can อาชญากรพันหน้าที่หัวใจเว้าแหว่ง

Catch Me If You Can ถือเป็นหนังจำพวกชีวประวัติที่สนุกในตัวของมัน เพราะการนำเอาชีวิตของ ‘แฟรงก์ อบาเนล’ อาชญากรผู้เชี่ยวชาญด้านการโกงเช็ค ทั้งยังเป็นนักต้มตุ๋นที่เด็กที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ การเป็นใครก็ได้ที่เขาอยากเป็นกลายเป็นจุดเด่นของเรื่อง ทว่าผู้กำกับสามารถไล่เรียงเหตุการณ์จริงทั้งหมด แล้วเรียงร้อยให้มันกลายเป็นหนังอีกเรื่องที่ไม่ได้มีแต่ความสนุกตื่นเต้นดาษดื่นเหมือนกับหนังเรื่องอื่น ๆ บันเทิงได้แบบคุ้มค่าเหมือนเล่นเกมกับ Fun88

จับให้ได้ ไล่ให้ทัน

ในคราวแรก ใบปิดของ Catch Me If You Can อาจเป็นภาพของการเล่าเรื่องเด็กหนุ่มคะนองศึกอย่าง แฟรงก์ ที่ตีตราสารท้าชิงกับเจ้าหน้าที่จาก FBI คาร์ล แฮนแร็ทตี้ ที่รับบทโดย ทอม แฮงส์ การวาดภาพไว้ในหัวคร่าว ๆ ว่าในเรื่องคงมีฉากการไล่ล่าสุดเด็ดเผ็ดมันก็คงไม่ผิดไปเสียทีเดียว แต่เรื่องที่ทำให้คนดูจะต้องประหลาดใจคือการเรียงร้อยความลุ่มลึกและมิติของตัวละครให้สอดคล้องกับบทภาพยนตร์ที่ เจฟฟ์ นาธานสัน ได้รังสรรค์เอาไว้อย่างพินิจพิเคราะห์และถี่ถ้วนทีเดียว

การกำหนดวันฉายที่อเมริกาให้เป็นวันที่ 25 ธันวาคม มีผลบางอย่างกับเรื่องอย่างน่าประทับใจอย่างที่ไม่อาจบอกให้คนที่ยังไม่ได้รับชมมีอารมณ์ร่วมไปกับมันได้ แต่นั่นแสดงให้เห็นว่าทุก ๆ องค์ประกอบของเรื่องนี้ถูกคิดค้นมาอย่างดี ด้วยความตั้งใจและความเคารพตัวจริงของทั้งสองท่านอย่างสุดซึ้ง

Catch Me If You Can กลายเป็นหนังที่แสดงให้เห็นถึงจิตใจอันเปลือยเปล่าของเด็กวัยรุ่นที่ต้องเผชิญปัญหาอันหนักหนาสาหัส เรื่องครอบครัวที่เป็นโลกทั้งใบของแฟรงก์ ความรักของเขา การตัดสินใจของเขาที่จะสร้างครอบครัวเป็นของตัวเอง ความหวังเล็กน้อยริบหรี่ที่ยังไม่เคยดับสูญ ว่าสักวันพ่อกับแม่คงจะกลับมาดีกัน วันคริสมาสต์ที่แสนเงียบเหงาของทุกปี และหน้าที่ด้านความเป็นพ่อของเจ้าหน้าที่แฮนแร็ทตี้ที่สอดแทรกไว้ตลอดเรื่อง ทำให้ผู้ชมอดที่จะเอาใจช่วยทั้งสองฝ่าย ผู้ลี้และผู้ไล่ไปในคราวเดียวกัน และความแยบยลกลลวงใด ๆ ก็ตามที่แฟรงก์ได้มาเพราะความเฉลียว บวกกับความฉลาดของเขาเอง

การเอาใจช่วยคนทำผิด

ถึงแม้จะเป็นหนังชีวประวัติ แต่ก็ไม่มีฉากไหนน่าเบื่อหรือไม่น่าจดจำ ซ้ำทุกฉากยังกลายเป็นฉากที่ตัดไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เพราะองค์ประกอบในทุก ๆ วินาทีของหนังขับกล่อมให้เราดาหน้ามีความสุขยืดอกไปกับทุก ๆ บทบาทของแฟรงก์ ในทำนองเดียวกันกับที่ต้องคอยพะวงหลังว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าหน้าที่แฮนแร็ทตี้จะไล่ตามมาทัน จนท้ายที่สุดของเรื่องก็ยังคงถือว่าแฟรงก์ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตอยู่ดี และเรา ๆ เองในฐานะผู้ชมก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขตามไปด้วยกับความสำเร็จนั้น อันเนื่องมาจากได้เห็นทุกแง่มุมในชีวิตของตัวละครแล้วว่า เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เปราะบางและจิตใจดีเพียงใด ทั้งนี้ เส้นเรื่องความเป็นเพื่อนของผู้หนีกับผู้ตาม ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ประทับใจคนส่วนมากอย่างไม่ต้องสงสัย

Moulin Rouge โรงละครในความทรงจำที่ไม่เคยปิดม่านการแสดง

Moulin Rouge กลายเป็นหนังอีกเรื่องที่เมื่อเปิดกรุหนังเก่าในความทรงจำของใครหลาย ๆ คนดู คงมีมันโผล่ออกมาบางส่วน อาจเป็นแสงสีแห่งความยิ่งใหญ่ของคลับอันใหญ่ยิ่งที่ปารีส ลีลาท่าทางการเต้นแคนแคนที่สะกดใจ สยบทุกสายตา กระทั่งความสวยอันเป็นอมตะนิรันดร์ของนางเอกอย่าง ซาทีน ที่รับบทโดย นิโคล คิดแมน ทุก ๆ สิ่งล้วนแล้วแต่เป็นเศษเสี้ยวของความทรงจำที่เด่นชัดเมื่อเราพูดถึงละครเพลงอมตะสักเรื่อง

การเริ่มต้นแห่งความรักในเสียงเพลง

การเล่าเรื่องเป็นไปอย่างเรียบง่าย ตามทำนองครรลองของสิ่งที่หนังควรจะเป็น ไม่มีฉากที่หวือหวาหักมุมเสียจนต้องอ้าปากค้าง แต่กลับเบาบางลุ่มลึก น่าลุ่มหลงเสียจนประทับอยู่ในใจของใครหลาย ๆ คน ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีดีเพียงแค่เส้นเรื่องที่เรียบง่ายแต่กรีดลึก ภาษาท่วงท่าใด ๆ เพลงทุกเพลงที่ถูกขับร้องจากทุก ๆ ตัวละคร ฉากแสงสียิ่งใหญ่อลังการเท่าที่โรงละครชั้นยอดจะทุ่มทุนได้ และสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมในทุกครั้งที่เปิดม่านการแสดงอย่างไม่รู้ลืม

ตัวละครผู้เล่าเรื่องที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอย่างคริสเตียน เขาคือกวีผู้ไขว่หา เชื่อมั่น ยึดถือในความรักเหนือสิ่งใด จวบจนวินาทีสุดท้ายที่ได้อยู่กับหญิงคนรัก เขาเก็บร่างกายของเธอ น้ำเสียง นิสัยใจคอ การขยับร่ายรำ ฉายานางฟ้าไร้ปีก ความงดงามและความลุ่มหลงส่วนตัวใด ๆ ที่เขามีต่อซาทีน มากักเก็บไว้ในหนังสือนิยายตามหน้าที่ของกวีผู้ใฝ่รัก และมีความรักอย่างลึกซึ้งมาแล้ว

ทางด้านตัวละครเด่นอีกตัวอย่างซาทีน แม้จะเป็นหนังเก่าแล้ว แต่ตัวละครตัวนี้กลับมีถ้อยคำหลายคำที่ทำให้เราในวันนี้หลังจากหนังได้ออกฉายมาเป็นสิบ ๆ ปีได้คิดคำถาม หล่อนเป็นนกน้อยในกรงทอง ทำให้ถูกตีตรา กำหนดค่าของตัวเองไว้แค่เงินตรา ไม่เคยรู้จักความรัก และเคียดแค้นฮาร์รอด เจ้าของมูแลงรูจ ว่าเขาหลอกลวง ให้เธอด้อยค่าตัวเองถึงเพียงนั้น กระนั้นเองความฝันชั่วชีวิตของหญิงสาวผู้เลอโฉม ก็ยังได้เป็นจริงแม้อย่างน้อยเพียงสักครั้งเดียว การได้พบกับความรัก และก้าวขึ้นสู่บทบาทของการเป็นนางเอก ผู้เลือกมหาราชา

ความจับใจของเส้นเสียง

Moulin Rouge ในสายตาของผู้ชมในปัจจุบันอาจไม่ได้จับใจเท่ากับครั้งแรกที่มันออกฉายเมื่อหลายปีก่อน แต่หากมองในแง่ของศิลปะ ทั้งในด้านศิลปะในเรื่อง ท่วงท่าการร่ายรำ คำประพันธ์ในบทเพลง กระทั่งบทภาพยนตร์นี้เองก็ตาม ย่อมถูกบรรจุอยู่ในหนังประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งที่ควรดู แน่นอนว่าอาจไม่ถูกใจทุกคน เพราะความยืดเยื้อ พ่อแง่แม่งอน มายาคติเรื่องความรักอันเป็นจุดแข็งของเรื่อง อาจทำให้หลาย ๆ คนขัดใจไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังเป็นหนังที่ควรค่าแก่การมอบเวลาสองชั่วโมงเพื่อเก็บเกี่ยวอรรถรสและรสชาติสีแดงของความรักจากเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด

The Notebook สมุดเล่มหนึ่ง ที่ว่าด้วยความรัก

The Notebook ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในหนังอมตะนิรันดร์กาลของ นิโคลัส สปาร์ค ที่โด่งดังทั้งตัวนิยายหรือหนังเอง เป็นต้นแบบของคำว่า Summer Love ที่ติดตรึงใจของใครหลาย ๆ คน ความรักที่ไม่อาจไปจับวางหรือขีดเส้นต้านเอาไว้ได้คือความประสงค์อันหอมหวานในวัยเยาว์ แต่ในช่วงเวลาที่เราแก่ตัวลงและความรักไม่ใช่ทุกอย่างที่จะพาให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างปกติสุข นั่นคือรอยแยกขนาดใหญ่ ที่ใครบางคนเต็มใจกระโดดลงไปในหลุมอีกครั้ง

เปิดอ่านทีละหน้า

Rachel McAdams ได้แจ้งเกิดจากหนังเรื่องนี้ในบทของแอลลี่ สาวผู้พบรักกับเด็กหนุ่มในช่วงพักร้อนแค่สั้น ๆ พ่อและแม่ของเธอไม่เคยเห็นดีหรือให้ความสำคัญใด ๆ กับความสัมพันธ์กันฉาบฉวยนี้ กลับกัน ตัวเธอเอง แอลลี่ และโนอาห์ ที่รับบทโดย Ryan Gosling ชายหนุ่มที่ไม่เคยหยุดคิดถึงความรักในฤดูร้อนครั้งนั้น และเมื่อใดที่กลับมาพบกัน ก็ดึงดูดกันอย่างรุนแรงราวแม่เหล็กถวิลขั้ว ความรักอันเป็นจุดแข็งนี้เองที่ทำให้เรื่องราวใน The Notebook ถือกำเนิดขึ้นมา อย่างไม่ธรรมดา แต่กลับซึมลึกลงไปในใจของผู้ชมไม่ต่างจากฝนที่เปียกปอนกระทบดิน    

และ The Notebook ยังทำให้เราเห็นความแตกแยกที่ระหองระแหงในความรัก ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าความขัดแย้งในความสัมพันธ์ไม่ใช่แผลเป็นหรือรอยตำหนิที่มีต่อรูปปั้นใด ๆ ที่คู่รักบรรจงสร้างไว้ร่วมกัน ทว่ากลับเพิ่มความล้ำลึกและกลมกลึงให้กับมัน เพราะการได้เห็นกันในทุก ๆ ด้าน การทะเลาะเบาะแว้งและออกปากเสียงใด ๆ ที่คู่รักมีต่อกัน อย่างที่แอลลี่กับโนอาห์เคยได้พานพบ นั่นคือจุดสำคัญของการประคองรัก และน่าประทับใจอย่างยิ่งที่มันถูกบรรยายไว้ในหนังได้อย่างครบถ้วน ไม่ได้เลือกให้เราเห็นเพียงแต่ความหวานชื่น หรือรสชาติร้อนแรงของการร่วมรักและรอยจูบ

The Notebook มีความพิเศษในตัวของมันโดยที่ไม่ได้กล่าวถึงวีรบุรุษผู้กอบกู้โลก หรือราชินีที่ครองบัลลังก์แสนยิ่งใหญ่ กลับเป็นเพียงเรื่องราวธรรมดา ๆ ของคู่รักธรรมดา ๆ ที่อยู่กันจนแก่เฒ่าและใช้ชีวิตอย่างธรรมดา ๆ จะมีโชคชะตาที่แวะเวียนเข้ามาก่อกวนให้เกิดความโกลาหลบ้างในบางครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้วนี่เอง ความธรรมดาทั้งหลายแหล่ที่ผู้เขียนและผู้กำกับตั้งใจจะสื่อให้เราเห็น เล่าให้เราฟัง กลับกลายเป็นความจับใจอย่างที่หนังเรื่องไหนก็ไม่อาจหามาให้ได้ เรื่องราวที่แสนตื้นเขิน ไร้ความตื่นเต้นและเร้าใจใด ๆ ให้ร่วมวิเคราะห์ เป็นเพียงแต่ความรักที่ให้เราชื่นชมดื่มด่ำเพียงเท่านั้น

หนังในรูปแบบหนังสือที่ต้องเก็บไว้อ่าน

The Notebook คงเป็นหนังเรื่องหนึ่งในลิสต์ที่หลาย ๆ คนอาจเก็บไว้อยู่แล้วถ้าหากเป็นคนชอบเสพหนังรัก เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเสิร์จดูจากไหน ก็คงไม่แคล้วมีคนแนะนำเรื่องนี้ แต่กระนั้นเองด้วยตัวเนื้อในของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้พิสูจน์ตัวมันเองแล้วว่าทำไมจึงคู่ควรอยู่บนหิ้งจัดอันดับของนักดูหนังรักทั่วโลก ว่ามันคือความทรงจำอันแสนหอมหวานและเปียกป้อนไปด้วยสายฝนที่กลั่นมาจากหยาดน้ำตา