Black Mirror: Bandersnatch คุณจะเลือกตอนจบแบบไหน?

Bandersnatch กำกับโดย David Slade เป็นหนึ่งเรื่องราวของซีรีส์ Netflix ฝั่งอังกฤษชื่อ Black Mirror หนังต้องการนำเสนอผลกระทบจากเทคโนโลยีใหม่ที่มีความเป็นดาบสองคม ได้ดาราหนุ่ม Fionn Whitehead มารับบทนำ ซึ่งเขาได้เคยฝากฝีไม้ลายมือการแสดงในหนังชื่อดังอย่าง Dunkirk เมื่อปี 2017 มาแล้ว

ตัวเอกของเรื่อง Stefan Butler เด็กหนุ่มอายุ 19 ปี ที่นำเกมมาเสนอให้บริษัทเกม และเขาได้พยายามสร้างเกมที่ซับซ้อนให้เสร็จทันกำหนดส่งกับบริษัทเกม แต่บางสิ่งบางอย่างก็ไม่เป็นใจเอาซะเลย ทำให้เขาต้องการที่จะเริ่มสร้างใหม่ หากแต่ว่าที่จะเริ่มเขียนใหม่เป็นเกมในชีวิตจริงของเขาชื่อเกม Bandersnatch และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวหลากหลายที่นำไปสู่จุดจบหลายรูปแบบ จุดที่น่าสนใจของเรื่องนี้ การเดินเรื่องคล้าย ๆ การเล่นเกม มีการเว้นช่วงให้เลือกการกระทำ จึงทำให้มีทางเลือกการกระทำหลายทาง ทีนี้ในหนังก็จะมีหลายเส้นเรื่อง (เหมือนเรื่องราวในโลกคู่ขนาน ที่ต่างเรื่องต่างดำเนินไปในโลกของตัวเอง) มีแนวคิดที่ว่า “ลองใหม่อีกครั้ง” ที่ตัวเอกกลับไปเขียนเรื่องราวของตัวเองใหม่ เราอาจจะเห็นฉาก ๆ หนึ่งซ้ำ ๆ อยู่หลายรอบ (ก็คือการวนลูปกลับไปเริ่มใหม่) และก่อนที่เส้นเรื่องใหม่จะเริ่มขึ้นก็จะมีการวนลูปของฉากก่อนหน้า มีความยาวประมาณสามวินาทีอยู่ประมาณสี่ถึงห้ารอบ ซึ่งส่วนนี้ทำให้คนดูรู้สึกมีส่วนร่วมเหมือนตัวเองเป็นคนเล่นเกมแบนเดอร์สแนตช์จริง ๆ มันทั้งรู้สึกกดดัน เครียด หงุดหงิด เหมือนตอนเล่นเกมแล้วไม่ผ่านด่านสักที จนบางทีรู้สึกอยากจะเลิกเล่นเอาดื้อ ๆ หนังเรื่องนี้ก็เหมือนกัน ดูไปได้สักพักจะมีความรู้สึกอยากจะเลิกดูเอาดื้อ ๆ แต่ก็ตัดสินใจดูต่อเพราะยังอยากรู้เรื่องราวต่อว่าจะดำเนินไปแบบไหนและมีจุดจบยังไง และด้วยความที่มีเส้นเรื่องหลากหลาย และประเด็นในแต่ละเรื่องที่หนังหยิบมาเล่าล้วนเกิดกับบุคคลรอบ ๆ ตัวซึ่งมีบทบาทต่อชีวิตบัตเลอร์ค่อนข้างมาก ประกอบกับที่บัตเลอร์เองมีปมในใจมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เราเชื่อว่าจุดจบแต่ละแบบที่หนังนำเสนอมามีความเป็นไปได้ และไม่เกินจริงเลย ซึ่งส่วนนี้ต้องชื่นชมทีมเขียนบทว่าทำการบ้านมาดีมาก แต่ใช่ว่าหนังทั้งเรื่องจะมีแต่เรื่องเครียด ๆ เสมอไป หนังยังนำเสนอมุขขำ ๆ มาดึงอารมณ์คนดูอย่างเราไม่ให้เครียดจนเกินไป ยังมีมุขน่ารัก ๆ มีการแซะโฆษณาแอบแฝงไว้อย่างแนบเนียน

                หนังเรื่องนี้ได้หยิบเรื่องราวหลากหลายประเด็นมาเล่าไม่ว่าจะเป็น ประเด็นด้านจิตวิทยา พฤติกรรมการลอกเลียนแบบ การนำเสนอเรื่องราวของฆาตกรโหด อุตสาหกรรมสื่อวีดีทัศน์ หรือแม้แต่ประเด็นการใช้สารหลอนประสาท ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต่างก็เคยถูกหยิบมาถ่ายทอดในรูปแบบของภาพยนต์มาบ้างแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ Bandersnatch แตกต่างคือรูปแบบการนำเสนอ นั่นคือการจำลองการใช้ชีวิตของคน ๆ หนึ่งให้อยู่ในเกม เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกใหม่ และถึงแม้ว่าหนังจะมีเนื้อหาเยอะ มีเรื่องราวหลายส่วน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือมีหลายเส้นเรื่องที่ดำเนินไปพร้อม ๆ กัน แต่หนังตัดต่อออกมาให้เข้าใจง่ายและน่าติดตาม ประกอบกับการแสดงของหนุ่มไวท์เฮดก็ดีและเอาคนดูอยู่ได้ดีเลยทีเดียว