The Lorax เรื่องราวหรรษา…พาท่องป่ามหัศจรรย์สีรุ้ง

The Lorax หรือ Dr. Suess’ The Lorax เป็นหนังที่ออกฉายปี 2012 มีต้นฉบับมาจากหนังสือเด็กชื่อเดียวกัน ที่เขียนโดยนักเขียนหนังสือเด็กชาวอเมริกันชื่อดัง วางขายครั้งแรกในปี ค.ศ. 1971 โดยแอนิเมชันเนื้อหาดีเรื่องนี้ก็ได้ดาราหนุ่ม Zac Efron และนักร้องสาว Taylor Swift มาช่วยพากย์เสียงให้อีกด้วย

The Lorax เป็นเรื่องราวของเมือง ธนีดวิลล์ (Thneedville) ที่ปราศจากต้นไม้จริง มีเพียงต้นไม้จากพลาสติกที่แต่งเติมด้วยสารสีสังเคราะห์เท่านั้น เท็ด วิกกินส์ (พากย์เสียงโดย Zac Efron)  เด็กหนุ่มอายุสิบสองปีที่อาศัยอยู่กับแม่และยาย เขาตกหลุมรักเด็กสาวอารมณ์ศิลป์ ออเดรย์ (พากย์เสียงโดย Taylor Swift) ที่ฝันอยากจะเห็นต้นไม้จริง ๆ  สักครั้งในชีวิต  เท็ดอยากจะทำให้ออเดรย์มีความสุขแต่ก็ไม่รู้จะหาต้นไม้มาจากไหน เพราะเกิดมาเขาก็ยังไม่เคยเห็นต้นไม้จริง ๆ  เลย เมื่อยาย (พากย์เสียงโดย Betty White) ของเท็ดรู้เข้าเลยหาทางเลยช่วยหลานของตน โดยบอกว่ามีคนชื่อวันซ์เลอร์…เขาเป็นคนที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับต้นไม้ แต่การพบวันซ์เลอร์นั้นไม่ง่ายเลย เท็ดต้องออกเดินทางจากเมืองพลาสติกนี้ไปค่อนข้างไกล และการจะออกจากเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมีกล้องของมาเฟีย โอแฮร์ (พากย์เสียงโดย Rob Riggle) สอดส่องอยู่ทั่วเมือง โอแฮร์เป็นเจ้าของอากาศอัดขวดที่ขายให้ชาวเมืองธนีดวิลล์  ด้วยความยากลำบากจนในที่สุดเท็ดก็ได้พบกับวันซ์เลอร์ ณ ที่เวิ้งว้างห่างไกลเมือง เป็นครั้งแรกที่เท็ดได้ออกนอกเมืองธนีดวิลล์ และเห็นร่องรอยของการตัดต้นไม้เหลือแต่โคนก็ทำให้เขาแปลกใจอยู่ไม่น้อย วันซ์เลอร์แปลกใจและไม่คิดว่าจะมีคนสนใจต้นไม้แล้ว เท็ดไปหาวันซ์เลอร์อยู่หลายวันจนวันซ์เลอร์ใจอ่อน จึงเริ่มเปิดใจเล่าเรื่องราวว่าเหตุใดต้นไม้ถึงหายไปจากเมืองนี้ซึ่งเขาเองเป็นส่วนสำคัญทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น

ถือเป็นอีกหนึ่งแอนิเมชันเนื้อหาดีที่อยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ดูกัน เรื่องภาพและการเคลื่อนไหวไม่สะดุดเลย การออกแบบเมืองธนีดวิลล์ที่ดูเป็นเมืองสูตรสำเร็จมีทุกกิจกรรมให้ชาวเมืองได้ทำ ไม่ว่าจะเล่นสกี อาบแดดตรงชายหาด ปาร์ตี้ ดูเป็นเมืองในฝันเพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ของจริงจากธรรมชาติ รวมถึงการออกแบบสถานที่นอกเมืองที่ให้ความรู้สึกต่างกันสุดขั้ว เป็นการตอกย้ำว่าการไม่มีต้นไม้มันโหดร้ายเพียงใด

นอกจากเนื้อหาที่น่าติดตามและเป็นประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อมแล้วนั้น เราชอบการออกแบบฉากและภาพที่สวยเหมือนดั่งในเทพนิยายเลย เพลงเพราะ ๆ  ที่ทำให้เราแอบโยกไปโดยไม่รู้ตัว  รวมถึงคาแรคเตอร์ของเหล่าสัตว์น้อยที่น่ารักและมีชีวิตชีวา ที่จะทำให้เราสนุกไปกับการดูหนังมากยิ่งขึ้น การมีตัวร้ายที่ร้ายอย่างเดียวไปเลยแบบโอแฮร์ และฝ่ายคนดีแบบเท็ดที่ต้องการต่อสู้เพื่อเอาธรรมชาติกลับคืนมา เป็นเนื้อหาที่ตรงไปตรงมาจึงเหมาะกับคนดูวัยเด็ก ๆ  ที่จะทำความเข้าใจได้ง่าย ใครที่กำลังมองหาหนังเบาสมองไว้ดูกับครอบครัว เนื้อเรื่องน่าติดตามและสนุก ซาบซึ้ง กินใจ ก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้ รับรองคุณจะได้ความรู้สึกดี ๆ  หลังดูจบอย่างแน่นอน