The Hateful Eight 8 พิโรธ โกรธแล้วฆ่า

ถ้าวันไหนรู้สึกเครียด เบื่อเจ้านาย เหนื่อยหน่ายลูกน้อง หรือแค่รู้สึกเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ แล้วอยากหาอะไรทำแก้เครียด แนะนำให้ดู 8 พิโรธ โกรธแล้วฆ่า!! ดูจากชื่อเรื่องก็ชักจะทำให้หายเครียดได้หน่อยแล้วสิ และถ้าบอกต่ออีกว่าเรื่องนี้กำกับโดย Quentin Tarantino เจ้าของผลงานเด่น ๆ เช่น Pulp Fiction, Kill Bill, Inglourious Basterds, Django Unchained พอนึกภาพภาพความโหดแบบกระจุยกระจาย เลือดสาด มุกตลกที่ทำให้หัวเราะหึในลำคอ ทำให้อยากดูมากขึ้นใช่ไหม แต่ช้าก่อน!! หนังเรื่องนี้มีความยาว 3 ชั่วโมง ถ้าตกลงปลงใจจะดูจริง ๆ ล่ะก็ ให้หาที่นั่งหรือที่นอนเหมาะ ๆ จัดตัวเองให้อยู่ในท่าสบาย ๆ แล้วมาเริ่มตะลุยหน้าหนาวในไวโอมิ่งกัน

The Hateful Eight 8 (2015) เปิดเรื่องด้วยการเดินทางของรถม้าข้ามผ่านภูเขาหิมะขาวโพลนในรัฐไวโอมิ่ง ประเทศสหรัฐอมริกา ผู้โดยสารในรถม้า คือ John Ruth นักล่าค่าหัวฉายา Hangman เดินทางมาพร้อม Daisy Domergue โจรสาวที่มีค่าหัวถึง 10,000 ดอลล่า ซึ่ง Ruth จับ Domergue มาเพื่อจะพาไปขึ้นค่าหัวที่เมือง Red Rock โดยระหว่างทางเขาได้รับ Marquis Warren นักล่าค่าหัวผิวสีผู้โด่งดัง ที่อดีตเคยเป็นทหารชั้นนายพลในกองทัพสหรัฐ จากนั้นพวกเขายังรับ Chris Mannix ผู้อ้างตนว่ากำลังจะเดินทางไปรับตำแหน่งนายอำเภอคนใหม่ที่เมือง Red Rock แต่เนื่องจากพายุหิมะรุนแรง ผู้ร่วมทางทั้ง 4 จึงแวะพักที่ร้านมินนี่ ซึ่งเป็นจุดแวะพักชั่วคราวบนทางผ่านภูเขา เมื่อเข้าไปในร้าน พวกเขาได้พบกับคนอีก 4 คน ได้แก่ 1) Bob ผู้ชายเม็กซิกันที่บอกว่าเขาเป็นคนดูร้านแทนมินนี่ในระหว่างที่เธอเดินทางไปเยี่ยมแม่ 2) Oswaldo Mobray ผู้ชายตัวเล็ก 3) Joe Gage คนฆ่าวัว 4) Sanford Smithers อดีตนายพล และเมื่อคนแปลกหน้าทั้ง 8 มาอยู่รวมกัน ในร้านเล็ก ๆ ท่ามกลางภูเขาและพายุหิมะ แถมยังมีทรัพย์สินล่อใจอย่าง Domergue ค่าหัว 10,000 เหรียญ จึงเริ่มมีความไม่ไว้วางใจกันเกิดขึ้น เป็นที่มาของการตั้งกฎ เกิดการยั่วยุกันให้ทำผิดกฎ และเมื่อมีคนละเมิดกฎ ความหายนะก็เกิดขึ้น

จุดที่หลายคนน่าจะขัดใจ คือ หนังยาวมาก เนื้อเรื่องช่วงแรกเนือย ๆ บทพูดแต่ละคนยาวเฟื้อย ชวนให้หลับ แต่เชื่อเถอะ ถ้าคุณผ่านช่วงแรกไปได้ รับรองว่ามีทีเด็ดรออยู่

จุดที่หลายคนน่าจะชอบ คือ ตัวละครที่มีคาแรคเตอร์แปลกและบ้ากันทุกคน และนักแสดงทุกคนก็แสดงดีแย่งซีนกันไม่ใครยอมใคร คาแรกเตอร์หลุดโลกแบบนี้แหล่ะ เหมาะจะเป็นแรงบรรดาลใจให้พวกเราชาวขี้เบื่อขี้เซ็ง สิ่งที่ต้องชมอีกอย่างคือดนตรีประกอบ ช่างมาได้จังหวะและปลุกเร้าความสะใจได้จริง ๆ นะ

เป็นหนังสไตล์ Quentin ที่ไม่ได้โหดเลือดสาดกระจุยกระจายเท่าไหร่นัก ประเด็นล้อเลียนเสียดสีก็มีบ้าง เช่น การเหยียดสีผิว การอยู่ร่วมกันภายใต้กฎกติกา การเอาตัวรอด และสะท้อนความจริงที่ว่าไม่มีคนดีร้อยเปอร์เซนต์ หากใครดูแล้วติดใจและชอบสไตล์นี้แนะนำ search ลิสต์รายชื่อหนังของ Quentin Tarantino ได้เลย

No Country for Old Men หมดยุคนายอำเภอขี่ม้าล่าโจร

No Country for Old Men (2007) กำกับโดยพี่น้อง Coen Brothers (Joel Coen และ Ethan Coen) เป็นหนังที่มีกลิ่นอายคาวบอยหน่อย ๆ แอคชั่นประปราย ระทึกขวัญเป็นครั้งคราว แต่ทั้งเรื่องมันคือความตลกร้ายดี ๆ นี่เอง

 

หนังแอคชั่นฟิลลิ่งแปลก ๆ ตอกย้ำความจริงที่ว่า…ไม่มีที่ยืนสำหรับคนแก่อีกแล้ว

เรื่องราวเริ่มต้นจากแก๊งค์ค้ายาเสพติดตกลงซื้อขายกันกลางทะเลทรายในรัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกา เกิดตกลงกันไม่ได้เลยเปิดศึกยิงกันกระจาย หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ลิวเวอลีน มอสส์ (รับบทโดย Josh Brolin) ล่าสัตว์อยู่แถวนั้น มาเจอศพเกลื่อนไปหมด เจอทั้งยา และเงินดอลลาร์เต็มกระเป๋า ในหนึ่งก็คิดว่าถ้าเอาเงินนี้มาเป็นของตัวเองต้องเดือดร้อนแน่ ๆ แต่ด้วยความโลภเขาตัดสินใจนำเงินกลับไปด้วย ลิวเวอลีน มอสส์ ถูกตามล่าโดยแอนทอน ชีเกอรห์ (รับบทโดย Javier Bardem) นักฆ่าผู้มีความโรคจิตนิด ๆ ซึ่งถูกว่าจ้างให้มาตามหาเงินคืน และนายอำเภอวัยใกล้เกษียณ Ed Tom Bell (รับบทโดย Tommy Lee Jones) ก็ได้ดูแลการสืบสวนคดีนี้อย่างใกล้ชิด โดยเนื้อเรื่องเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องราวการหนีของลิวเวอลีน โดยมีชีเกอรห์ตามหลังมา 1 ก้าว และมีนายอำเภอตามหลังมาอีก 2 ก้าว

หนังเปิดเรื่องมาด้วยการฉายภาพภูมิประเทศหม่นมัวและแห้งแล้งของรัฐเท็กซัส และเสียงบรรยายเหนื่อยเศร้าของนายอำเภอ เล่าชีวิตการเป็นนายอำเภอมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ และความซับซ้อนเข้าใจยากของคดีฆาตกรรมในโลกทุกวันนี้ ตลอดเรื่องคนดูอาจจะลุ้นอยู่กับการไล่ล่าของชีเกอรห์ และลิวเวอลีน จนลืมไปว่านายอำเภอคือตัวละครเอก เป็นคนเล่าเรื่อง และเป็นเจ้าของเรื่องด้วยนะ ซึ่งมีหลายฉากเลยที่ตอกย้ำว่านายอำเภอพยายามจะตามคนร้ายให้ทัน แต่ก็ช้าไป 1 ก้าวทุกครั้ง ไม่เพียงแต่ตามไม่ทัน หนังยังเน้นให้เห็นว่านายอำเภอมีความเหนื่อยล้า อิดโรย และถอดใจไปแล้ว แต่เพราะหน้าที่และอุดมการณ์ที่มีอยู่ ก็หวังจะปิดคดีให้ได้ เพื่อความภาคภูมิใจครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเกษียณ

อะไรที่ว่าแปลก

– ความย้อนแย้งและบุคลิกแปลก ๆ ของตัวละคร ต้องยกให้ชีเกอรห์ ฆาตกรโหดเหี้ยม มีความจิตไม่ปกติ ฆ่าคนไม่เลือกหน้า เขาตั้งกฎเอาไว้ว่าถ้าใครได้พูดคุยและได้เห็นหน้าเขาแล้ว คนนั้นต้องถูกเขาฆ่าตาย บางครั้งเขาจะให้โอกาสเล่นเกมโยนเหรียญให้ทายว่าหัวหรือก้อย และด้วยลักษณะการพูดไม่ค่อยเหมือนคนทั่วไป เวลาชีเกอรห์พูดคุยกับใครก็ตามจะให้ความรู้สึกน่ากลัวและตลกในเวลาเดียวกัน

–  เราจะได้เห็นฉากธรรมดา ๆ แต่ให้ความรู้สึกว่ามันทั้งคูล ทั้งเท่ห์ เต็มไปหมด เช่น ฉากที่ Josh Brolin ชักปืนมายิงสุนัขล่าเนื้อ แม้จะดูทุลักทุเล แต่ให้ตายเถอะ…มันเจ๋งเป็นบ้าเลย

– หนังให้น้ำหนักกับการไล่ล่า โดยมีการวางเส้นเรื่องที่ค่อย ๆ ปูมาจากความราบเรียบ ไปสู่ความตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหักจบแบบคนดูไม่ทันตั้งตัว นี่คงเป็นจุดที่ทำให้คนดูคาใจ มีการพูดถึง และเอาไปคิดต่อ

Birdman มนุษย์นกในแดนมหัศจรรย์

แฟนหนังของผู้กำกับสุดติสต์อย่าง อาเลจันโดร กอนซาเลซ อินาริตู ต้องไม่พลาดหนังเรื่องติสต์ ๆ อย่าง Birdman เพราะนอกจากหนังจะถูกการันตีคุณภาพด้วยรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2015 แล้ว ในส่วนของเนื้อหา โทนของหนัง และเทคนิคการถ่ายทำนั้น ยังทำให้คนดูรู้สึกเพลิดเพลินและมีอารมณ์ร่วมอย่างไม่รู้ตัว

หนังที่เหมือนจะเครียด ๆ แต่สามารถเก็บไว้ดูแก้เครียดได้

Birdman หรือชื่อภาษาไทยคือ เบิร์ดแมน มายาดาว เป็นเรื่องราวของริกเก้น ทอมสัน (รับบทโดยไมเคิล คีตัน) ดาราที่เคยโด่งดังจากการเล่นบทเบิร์ดแมน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งเขาพยายามจะรักษาชื่อเสียงเอาไว้และพยายามจะกลับมาดังอีกครั้งด้วยการทำละคร Broadway โดยริกเก้นทำหน้าที่ทั้งเขียนบทเอง กำกับเอง แถมยังแสดงเองอีกต่างหาก ฟังดูเหมือนเรื่องราวธรรมดาทั่วไป แต่ปมของเรื่องมันอยู่ตรงนี้

ริกเก้นมักจะได้ยินเสียง Birdman ในหัว หนำซ้ำบางครั้งยังโผล่มาให้เห็นตัวเป็น ๆ มากางปีกอยู่ใกล้ ๆ คอยกระซิบถ้อยคำซึ่งตรงกับความคิดด้านมืดที่ริกเก้นกำลังคิดอยู่ ปัญหาใหญ่ของเขาดูเหมือนจะเป็นเรื่องการทำละคร Broadway ซึ่งเขาเองมีความคาดหวังและมีความกดดันอย่างมาก แต่ไม่เพียงเท่านั้น เพราะเขายังมีปมเรื่องลูกสาวชื่อแซม (รับบทโดยเอ็มม่า สโตน) ที่ไม่เคยยอมรับในตัวเขา เขายังมีความรู้สึกอาลัยรักภรรยาที่เลิกรากันไป และเขายังมีปัญหาไม่ลงรอยกับนักแสดงร่วมในละครอีกคนอย่างไมค์ (รับบทโดยเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน) และยังมีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มากวนใจอีก ด้วยปัญหาหลายอย่างกรายหน้ากันเข้ามา เลยทำให้ Birdman ได้ออกโรงมาประชดประชันเขาไม่เว้นแต่ละวัน คอยมาเตือนความจำว่าเขาเคยยิ่งใหญ่ขนาดไหน และมาพูดโน้มน้าวให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อให้กลับมาดังและยิ่งใหญ่อีกครั้ง

หนังเรื่องนี้มีความยาวเกือบ 2 ชั่วโมง โดยเนื้อเรื่องนั้น จริง ๆ แล้วอาจมีความดราม่าอยู่เยอะพอสมควร แต่ผู้กำกับอินาริตูได้สอดแทรกมุข ความขำ และความตลกร้ายไว้อย่างพอดี ทำให้หนังที่เหมือนจะเครียดเพราะความดราม่าของตัวละคร กลับมีความฮาปะปนอยู่อย่างลงตัว และความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่จะลืมไม่ได้เลย คือฉาก long take ซึ่งทำให้ตื่นตาตื่นใจและทำให้ดูเพลินมากจริงๆ และด้วยความดีงามของฉาก long take และการลำดับภาพที่ไร้ที่ติ บวกกับนักแสดงที่แสดงได้ดีและเข้าถึงบทบาทดีเยี่ยมทุกคน ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนได้ติดตามตัวละครอย่างใกล้ชิดและเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของตัวละคร โดยเฉพาะริกเก้นตัวละครเอกของเรื่อง

โดยสรุป Birdman ถือว่าเป็นหนังที่สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของคนเราในแง่ของการยึดมั่นในอะไรบางอย่าง เช่น เส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ การยึดติดความสำเร็จในอดีต การตั้งความหวัง และการตอบสนองต่อความผิดหวัง ในอีกแง่หนึ่ง ก็ถือเป็นหนังที่มีความตลกร้ายและให้ความบรรเทิง จิกกัดเสียดสีวงการทำหนังทำละคร และมีฉาก long take ที่ใครได้ดูแล้วรับรองว่าต้องไม่ลืม ถือว่าเป็นหนังที่น่าจดจำอีกเรื่องหนึ่งและไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง