Gone Girl เธอจากไป แล้วเธอก็กลับมา

“คุณมันประสาท คุณบ้าแล้ว บอกหน่อย ทำไมคุณถึงอยากจะทำแบบนี้ ใช่! ผมรักคุณก็จริง แต่เราอยู่แบบทำลายความรู้สึกกัน พยายามที่จะควบคุมกัน เราต่างสร้างความเจ็บปวดให้กันและกัน” นี่คือคำพูดที่พระเอก Gone Girl พูดกับนางเอก ซึ่งก็คือเมียตัวเอง ซึ่งสิ่งที่นางเอกตอบกลับมาคือ “มันคือการแต่งงาน” เสียงราบเรียบตอกย้ำว่ายอมรับเถอะเพราะนี่คือชีวิตคู่ไงจ๊ะเบเบ๊

จากประโยคตัวอย่างของตัวละคร คงพอเดาออกว่า Gone Girl เป็นหนังเกี่ยวกับรักร้าวเตียงหัก จำได้ว่าดูครั้งแรกตอนวันฝนตก อากาศขมุกขมัว ดูจบแล้วถึงกับนอนแน่นิ่ง คิดตาม และเกิดกลัวการมีชีวิตคู่ขึ้นมาเลยทีเดียว ความจริง Gone Girl ไม่ได้จัดอยู่ในหมวดหมู่หนังรักดราม่า เพราะโทนของเรื่องมันเน้นไปทาง Crime, Drama, Mystery, Thriller โดยเล่าเรื่องผ่านชีวิตคู่ของพระเอกกับนางเอก และด้วยความลึกลับของหนัง บวกกับความซับซ้อนของตัวละคร จึงอาจเป็นหนังที่ค่อนข้างดูยาก คนที่จะชอบก็จะชอบเลย ส่วนคนที่ดูแล้วไม่ชอบ ก็ถือว่ามีอะไรให้เก็บไปขบคิดได้

Gone Girl (2014) เริ่มเรื่องจาก Nick (รับบทโดย Ben Affleck) แจ้งตำรวจว่าภรรยา Amy (รับบทโดย Rosamund Pike) หายตัวไป เมื่อตำรวจเข้ามาสืบสวน พร้อมกับสื่อต่างให้ความสนใจ บวกกับความกดดันและจนทำให้วางตัวไม่ถูกต่อหน้าสื่อมวลชน (มีภาพเขายืนข้างรูปถ่ายภรรยา แล้วยิ้มแหย ๆ) ทำให้คนเอะใจและตั้งคำว่า นิคฆ่าเมียตัวเองหรือไม่? หากเล่าถึงเบื้องหลังการหายตัวไปจะเป็นการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญทันที ใครชอบแนวซับซ้อน ซ่อนเงื่อน แนะนำให้ไปตามดูกันเลย

แนะนำทั้งทีก็ต้องอวยกันหน่อย

บรรยากาศของหนัง มีความขมุกขมัว ทำให้รู้สึกถึงความคลุมเคลืออยู่ตลอดเวลา และการเล่าเรื่องแบบตัดภาพ สลับฉากสลับเวลา ทำให้คนดูได้คิดตามและอยากรู้อยากเห็น อีกทั้ง Amy เป็นตัวละครที่มีมิติ มีความซับซ้อน (แถมยังสวยมาก) พ่อแม่ และครอบครัวของ Amy เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เธอมีความกดกันตัวเอง นำไปสู่คาดหวังชีวิตคู่ที่ดีพร้อม และความต้องการเป็นควบคุมทุกอย่าง ที่กล่าวมาเหล่านี้เอง จึงทำให้หนังดูลึกลับ และน่าติดตามมากยิ่งขึ้น เทคนิคการเล่าเรื่องที่ดีตามมาตรฐานผู้กำกับ มีการเล่าเรื่องแบบค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ แล้วดำเนินไปสู่จุดหักมุม และลากเรื่องต่อมาตอนท้ายเพื่อขยี้ความรู้สึกตัวละครและสร้างความสะเทือนอารมณ์ให้กับคนดู เตือนไว้ก่อนเลยว่าดูจบแล้วอาจจะรู้สึกหดหู่เบา ๆ

เรื่องนี้กำกับโดย David Fincher ผู้กำกับคนเก่งที่ถนัดทำหนังหักมุม เช่น Se7en (1995), Fight Club (1999), Panic Room (2002), Zodiac (2007) คราวนี้เขาหยิบเอานิยายขายดีที่เขียนโดย Gillian Flynn มาดัดแปลงเป็นหนังซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งรางออสการ์และลูกโลกทองคำ แฟนหนังของ David Fincher ดูแล้วไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

The Hateful Eight 8 พิโรธ โกรธแล้วฆ่า

ถ้าวันไหนรู้สึกเครียด เบื่อเจ้านาย เหนื่อยหน่ายลูกน้อง หรือแค่รู้สึกเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ แล้วอยากหาอะไรทำแก้เครียด แนะนำให้ดู 8 พิโรธ โกรธแล้วฆ่า!! ดูจากชื่อเรื่องก็ชักจะทำให้หายเครียดได้หน่อยแล้วสิ และถ้าบอกต่ออีกว่าเรื่องนี้กำกับโดย Quentin Tarantino เจ้าของผลงานเด่น ๆ เช่น Pulp Fiction, Kill Bill, Inglourious Basterds, Django Unchained พอนึกภาพภาพความโหดแบบกระจุยกระจาย เลือดสาด มุกตลกที่ทำให้หัวเราะหึในลำคอ ทำให้อยากดูมากขึ้นใช่ไหม แต่ช้าก่อน!! หนังเรื่องนี้มีความยาว 3 ชั่วโมง ถ้าตกลงปลงใจจะดูจริง ๆ ล่ะก็ ให้หาที่นั่งหรือที่นอนเหมาะ ๆ จัดตัวเองให้อยู่ในท่าสบาย ๆ แล้วมาเริ่มตะลุยหน้าหนาวในไวโอมิ่งกัน

The Hateful Eight 8 (2015) เปิดเรื่องด้วยการเดินทางของรถม้าข้ามผ่านภูเขาหิมะขาวโพลนในรัฐไวโอมิ่ง ประเทศสหรัฐอมริกา ผู้โดยสารในรถม้า คือ John Ruth นักล่าค่าหัวฉายา Hangman เดินทางมาพร้อม Daisy Domergue โจรสาวที่มีค่าหัวถึง 10,000 ดอลล่า ซึ่ง Ruth จับ Domergue มาเพื่อจะพาไปขึ้นค่าหัวที่เมือง Red Rock โดยระหว่างทางเขาได้รับ Marquis Warren นักล่าค่าหัวผิวสีผู้โด่งดัง ที่อดีตเคยเป็นทหารชั้นนายพลในกองทัพสหรัฐ จากนั้นพวกเขายังรับ Chris Mannix ผู้อ้างตนว่ากำลังจะเดินทางไปรับตำแหน่งนายอำเภอคนใหม่ที่เมือง Red Rock แต่เนื่องจากพายุหิมะรุนแรง ผู้ร่วมทางทั้ง 4 จึงแวะพักที่ร้านมินนี่ ซึ่งเป็นจุดแวะพักชั่วคราวบนทางผ่านภูเขา เมื่อเข้าไปในร้าน พวกเขาได้พบกับคนอีก 4 คน ได้แก่ 1) Bob ผู้ชายเม็กซิกันที่บอกว่าเขาเป็นคนดูร้านแทนมินนี่ในระหว่างที่เธอเดินทางไปเยี่ยมแม่ 2) Oswaldo Mobray ผู้ชายตัวเล็ก 3) Joe Gage คนฆ่าวัว 4) Sanford Smithers อดีตนายพล และเมื่อคนแปลกหน้าทั้ง 8 มาอยู่รวมกัน ในร้านเล็ก ๆ ท่ามกลางภูเขาและพายุหิมะ แถมยังมีทรัพย์สินล่อใจอย่าง Domergue ค่าหัว 10,000 เหรียญ จึงเริ่มมีความไม่ไว้วางใจกันเกิดขึ้น เป็นที่มาของการตั้งกฎ เกิดการยั่วยุกันให้ทำผิดกฎ และเมื่อมีคนละเมิดกฎ ความหายนะก็เกิดขึ้น

จุดที่หลายคนน่าจะขัดใจ คือ หนังยาวมาก เนื้อเรื่องช่วงแรกเนือย ๆ บทพูดแต่ละคนยาวเฟื้อย ชวนให้หลับ แต่เชื่อเถอะ ถ้าคุณผ่านช่วงแรกไปได้ รับรองว่ามีทีเด็ดรออยู่

จุดที่หลายคนน่าจะชอบ คือ ตัวละครที่มีคาแรคเตอร์แปลกและบ้ากันทุกคน และนักแสดงทุกคนก็แสดงดีแย่งซีนกันไม่ใครยอมใคร คาแรกเตอร์หลุดโลกแบบนี้แหล่ะ เหมาะจะเป็นแรงบรรดาลใจให้พวกเราชาวขี้เบื่อขี้เซ็ง สิ่งที่ต้องชมอีกอย่างคือดนตรีประกอบ ช่างมาได้จังหวะและปลุกเร้าความสะใจได้จริง ๆ นะ

เป็นหนังสไตล์ Quentin ที่ไม่ได้โหดเลือดสาดกระจุยกระจายเท่าไหร่นัก ประเด็นล้อเลียนเสียดสีก็มีบ้าง เช่น การเหยียดสีผิว การอยู่ร่วมกันภายใต้กฎกติกา การเอาตัวรอด และสะท้อนความจริงที่ว่าไม่มีคนดีร้อยเปอร์เซนต์ หากใครดูแล้วติดใจและชอบสไตล์นี้แนะนำ search ลิสต์รายชื่อหนังของ Quentin Tarantino ได้เลย

No Country for Old Men หมดยุคนายอำเภอขี่ม้าล่าโจร

No Country for Old Men (2007) กำกับโดยพี่น้อง Coen Brothers (Joel Coen และ Ethan Coen) เป็นหนังที่มีกลิ่นอายคาวบอยหน่อย ๆ แอคชั่นประปราย ระทึกขวัญเป็นครั้งคราว แต่ทั้งเรื่องมันคือความตลกร้ายดี ๆ นี่เอง

 

หนังแอคชั่นฟิลลิ่งแปลก ๆ ตอกย้ำความจริงที่ว่า…ไม่มีที่ยืนสำหรับคนแก่อีกแล้ว

เรื่องราวเริ่มต้นจากแก๊งค์ค้ายาเสพติดตกลงซื้อขายกันกลางทะเลทรายในรัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกา เกิดตกลงกันไม่ได้เลยเปิดศึกยิงกันกระจาย หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ลิวเวอลีน มอสส์ (รับบทโดย Josh Brolin) ล่าสัตว์อยู่แถวนั้น มาเจอศพเกลื่อนไปหมด เจอทั้งยา และเงินดอลลาร์เต็มกระเป๋า ในหนึ่งก็คิดว่าถ้าเอาเงินนี้มาเป็นของตัวเองต้องเดือดร้อนแน่ ๆ แต่ด้วยความโลภเขาตัดสินใจนำเงินกลับไปด้วย ลิวเวอลีน มอสส์ ถูกตามล่าโดยแอนทอน ชีเกอรห์ (รับบทโดย Javier Bardem) นักฆ่าผู้มีความโรคจิตนิด ๆ ซึ่งถูกว่าจ้างให้มาตามหาเงินคืน และนายอำเภอวัยใกล้เกษียณ Ed Tom Bell (รับบทโดย Tommy Lee Jones) ก็ได้ดูแลการสืบสวนคดีนี้อย่างใกล้ชิด โดยเนื้อเรื่องเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องราวการหนีของลิวเวอลีน โดยมีชีเกอรห์ตามหลังมา 1 ก้าว และมีนายอำเภอตามหลังมาอีก 2 ก้าว

หนังเปิดเรื่องมาด้วยการฉายภาพภูมิประเทศหม่นมัวและแห้งแล้งของรัฐเท็กซัส และเสียงบรรยายเหนื่อยเศร้าของนายอำเภอ เล่าชีวิตการเป็นนายอำเภอมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ และความซับซ้อนเข้าใจยากของคดีฆาตกรรมในโลกทุกวันนี้ ตลอดเรื่องคนดูอาจจะลุ้นอยู่กับการไล่ล่าของชีเกอรห์ และลิวเวอลีน จนลืมไปว่านายอำเภอคือตัวละครเอก เป็นคนเล่าเรื่อง และเป็นเจ้าของเรื่องด้วยนะ ซึ่งมีหลายฉากเลยที่ตอกย้ำว่านายอำเภอพยายามจะตามคนร้ายให้ทัน แต่ก็ช้าไป 1 ก้าวทุกครั้ง ไม่เพียงแต่ตามไม่ทัน หนังยังเน้นให้เห็นว่านายอำเภอมีความเหนื่อยล้า อิดโรย และถอดใจไปแล้ว แต่เพราะหน้าที่และอุดมการณ์ที่มีอยู่ ก็หวังจะปิดคดีให้ได้ เพื่อความภาคภูมิใจครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเกษียณ

อะไรที่ว่าแปลก

– ความย้อนแย้งและบุคลิกแปลก ๆ ของตัวละคร ต้องยกให้ชีเกอรห์ ฆาตกรโหดเหี้ยม มีความจิตไม่ปกติ ฆ่าคนไม่เลือกหน้า เขาตั้งกฎเอาไว้ว่าถ้าใครได้พูดคุยและได้เห็นหน้าเขาแล้ว คนนั้นต้องถูกเขาฆ่าตาย บางครั้งเขาจะให้โอกาสเล่นเกมโยนเหรียญให้ทายว่าหัวหรือก้อย และด้วยลักษณะการพูดไม่ค่อยเหมือนคนทั่วไป เวลาชีเกอรห์พูดคุยกับใครก็ตามจะให้ความรู้สึกน่ากลัวและตลกในเวลาเดียวกัน

–  เราจะได้เห็นฉากธรรมดา ๆ แต่ให้ความรู้สึกว่ามันทั้งคูล ทั้งเท่ห์ เต็มไปหมด เช่น ฉากที่ Josh Brolin ชักปืนมายิงสุนัขล่าเนื้อ แม้จะดูทุลักทุเล แต่ให้ตายเถอะ…มันเจ๋งเป็นบ้าเลย

– หนังให้น้ำหนักกับการไล่ล่า โดยมีการวางเส้นเรื่องที่ค่อย ๆ ปูมาจากความราบเรียบ ไปสู่ความตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหักจบแบบคนดูไม่ทันตั้งตัว นี่คงเป็นจุดที่ทำให้คนดูคาใจ มีการพูดถึง และเอาไปคิดต่อ

Glass คนเหนือมนุษย์ การมาพบกันของซุปเปอร์ฮีโร่ ซุปเปอร์วายร้าย และซุปเปอร์ผู้คุมเกม

เห็นโปรแกรมฉายหนัง Glass คนเหนือมนุษย์ จะเข้าฉายในประเทศไทยช่วงกลางเดือนมกราคม ปี เลยแวะไปดู Official Trailer มาแล้ว และต้องมาบอกต่อว่าหนังน่าดูมาก เรื่องนี้ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (M. Night Shyamalan) ยังคงรับหน้าที่เขียนบท กำกับ และยังเป็นผู้อำนวยการสร้างอีกด้วย หลายคนอาจไม่รู้ว่าชยามาลานเป็นเจ้าของผลงานขึ้นหิ้งอย่าง The Sixth Sense และยังมีเรื่อง Unbreakable (2000) และ Split (2016) ซึ่งถือเป็นภาคหนึ่ง และภาคสอง ก่อนจะมาทำภาคสุดท้ายคือ Glass (2019) เวบไซต์หนังหลาย ๆ ที่ต่างกล่าวว่า หนังสามเรื่องที่กล่าวมานี้ เป็นไตรภาครถไฟสายตะวันออก 177 ของชยามาลาน (M. Night Shyamalan’s Eastrail 177 Trilogy)

ภาคแรก Unbreakable: กำเนิดซุปเปอร์ฮีโร่

Unbreakable เฉียดชะตา…สยอง เป็นเรื่องราวของเดวิด ดันน์ (รับบทโดย Bruce Willis) ผู้ชายเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุรถไฟสาย Eastrail 177 ตกราง มากไปกว่านั้นเดวิดยังเคยรอดชีวิตจากเหตุรถชนกันและเหตุการณ์จมน้ำก่อนหน้านี้อีกด้วย ตัวละครหลักอีกคนหนึ่งคืออีไลจาห์ ไพร์ซ หรือมีอีกชื่อว่า Mr. Glass (รับบทโดย Samuel L. Jackson) เพราะกระดูกหักบ่อยและหักง่ายมาก อันเนื่องมาจากเขาเป็นโรคกระดูกเปราะกรรมพันธุ์นั่นเอง อีไลจาห์เป็นคนคลั่งไคล้การ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่มาตั้งแต่เด็ก และพอทราบว่าเดวิดเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์จากรถไฟตกราง อีไลจาห์จึงสนใจและได้มาพบกับกับเดวิด พร้อมทั้งตั้งคำถามให้เดวิดกลับไปคิดว่า “คุณเคยป่วยบ้างไหม?”

เนื้อหาของหนังส่วนใหญ่เป็นการสำรวจและค้นหาตัวเองของเดวิด ดันน์ ในขณะที่เขาค้นหาตัวเองเขามีความรู้สึกคัดค้านอยู่ตลอดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในบางครั้งก็ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธตนเองได้เช่นกัน ถ้าใครได้ดู The Sixth Sense แล้ว จะบอกว่าเรื่องนี้มีโทนของหนังคล้ายกัน คือ บรรยากาศเงียบ ตัวละครพูดน้อย บทสนทนาน้อย แต่เนื้อเรื่องชวนติดตาม ทำให้อยากรู้ว่าเดวิดมีพลังเหนือธรรมชาติจริงหรือไม่ บวกกับตอนท้ายมีการหักมุมเบา ๆ ซึ่งทำให้ร้อง เห้ย! ได้เลยทีเดียว

ภาคสอง Split: กำเนิดซุปเปอร์วายร้าย

Split จิตหลุดโลก ออกฉายเมื่อปี 2016 เป็นเรื่องของเควิน ผู้ชายที่มี 23 บุคลิก (รับบทโดย James McAvoy) แต่ละบุคลิกจะมีชื่อแตกต่างกันชนิดที่จำชื่อไม่หวาดไม่ไหว เขาลักพาตัวสาววัยรุ่น 3 คน มาขังไว้ในสถานที่ลึกลับ เรื่องนี้มีความตื่นเต้น ระทึกขวัญ และโดดเด่นตรงการแสดงของ James McAvoy เมื่อต้องเปลี่ยนแปลงเป็นหลาย ๆ บุคลิกในฉากเดียวกัน โดยเฉพาะในตอนท้ายที่มีบุคลิก The Beast โผล่มา ทำให้คนดูเกิดคำถามประมาณว่า ‘คนอะไร แหวกกรงเหล็กได้ แบบนี้ไม่ใช่คนแล้ว’ คนดูเลยรู้สึกว่ามันแฟนตาซีและเวอร์วังเกินไป แต่ที่ไหนได้ มันคือการหักมุม (เรื่องถนัดของผู้กำกับคนนี้) เพื่อปูเรื่องว่าความจริงแล้ว Split นี่แหล่ะ คือกำเนิด The Beast ซุปเปอร์วายร้าย และเป็นภาคต่อเนื่องของ Unbreakable กำเนิดซุปเปอร์ฮีโร่ เมื่อ 15 ปีก่อนนั่นเอง

Glass: จุดจบไตรภาครถไฟสายตะวันออก 177 ของชยามาลาน

จากตัวอย่างหนัง ที่จะเข้าฉายกลางเดือนมกราคม 2019 เราจะได้เห็นการกลับมาของ ซุปเปอร์ฮีโร่เดวิด ดันน์ และซุปเปอร์วายร้าย The Beast แน่นอน ส่วน  Mr. Glass ที่น่าจะเป็นตัวละครหลักของภาคนี้ ต้องมาลุ้นกันว่าเขาจะเป็นซุปเปอร์คอมมานเดอร์หรือเป็นอะไรที่สร้างความประหลาดใจให้กับคนดูได้มากมายแค่ไหน และมาคอยดูกันว่าชยามาลาน จะมีหักมุมเจ๋ง ๆ ให้เราได้ร้อง เห้ย! กันอีกหรือเปล่า

การตามหาที่น่าพิศวง Searching เสิร์ชหา สูญหาย

                ลองจินตนการดูเล่น ๆ ว่าถ้าวันหนึ่งคนสำคัญในชีวิตของเราหายไปออกจากบ้าน และไม่สามารถติดต่อได้เลย เราจะมีความรู้สึกอย่างไร คงจะเป็นความรู้สึกที่เป็นห่วงและทรมานมาก หนังเรื่อง Searching หรือในชื่อไทยคือ เสิร์ชหา สูญหายนั้น จะถ่ายทอดอารมณ์เรื่องราวของการลูกสาวสุดที่รักของตัวเอกในเรื่อง ที่หายไปออกจากที่ได้อย่างไร้ร่องรอย และพ่อไม่สามารถติดได้ต่อ ถือเป็นหนังกำลังจะเข้าฉายที่มาแรงอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

หนังเรื่อง searching มีจุดเด่นที่ดึงดูดคนดูมากมายตั้งแต่ยังไม่เข้าโรง เช่นเรื่องของ plot หนังที่ทำได้น่าสนใจ และหลายคนที่ต้องการจะรู้คำตอบว่าลูกสาวของตัวหลักของในเรื่องที่ชื่อ David Kim นั้นหายไปไหน และหายไปทำอะไรกันแน่ โดยเรื่องราวคร่าว ๆ ของหนังก็คือมีครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นครอบครัวหนึ่ง มีสมาชิกพ่อ แม่ และลูกสาวคนหนึ่ง ซึ่งครอบครัวนี้มีการบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์คเหมือนคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป ตั้งแต่ลูกสาวพึ่งเกิด จากนั้นก็มีการบันทึกเรื่องราวและกิจกรรมต่าง ๆ ของครอบครัว Kim มาเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ลูกสาว Margot Kim โตเป็นสาววัยรุ่น และคุณแม่ได้จากโลกนี้ไปแล้ว แต่เรื่องราวจริง ๆ มันเริ่มขึ้นในวันหนึ่งที่ตัวของลูกสาวนั้นหายออกไปจากบ้าน โดยที่พ่อไม่รู้เรื่องอะไรเลย

เมื่อทุกอย่างผิดสังเกต พ่อจึงพยายามตามหาลูกทุกวิถีทาง เพื่อที่จะหาลูกให้เจอ โดยพ่อได้ทำการแจ้งความ และหาข้อมูลต่าง ๆ ของลูกจากเพื่อนของลูก และเบาะแสต่าง ๆ ที่มีคนพบเห็นลูกสาวของเขา แต่เรื่องยิ่งกลับแย่ลงเมื่อมีเบาะแสของลูกตนเองในทางที่เสียหาย ไม่ว่าจะเป็นการทำบัตรปลอม และมีการถอนเงินสดออกจากธนาคารเป็นเงิน 2500 ดอลล่าร์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก ทำให้เราต้องเอาใจช่วยคุณพ่อหาตัวลูกสาวให้เจอ รวมไปถึงเหตุผลว่าทำไมลูกสาวถึงทำแบบนี้

ลงทุนไปไม่มาก แต่สามารถเป็นกระแสได้ไม่ยาก

                นอกจากเรื่องราวของ plot หนังที่น่าลึกลับ น่าค้นหา และปริศนามากมายแล้ว Searching ยังมีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือ วิธีการถ่ายทอดหนัง หลายคนที่เป็นแฟนหนังผีหรือหนังสยองขวัญสั่นประสาท คงไม่มีใครไม่รู้จักหนังเรื่อง Paranormal Activity ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในบ้านหลังหนึ่ง ที่มีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นมากมายในบ้าน ทำให้คนในบ้านตัดสินใจที่จะบันทึกภาพเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้น โดยใช้กล้องวิดีโอในการบันทึก ซึ่งจุดนี้แหละ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจในหนังเรื่องนี้ นั่นก็คือตัวหนังตั้งแต่ต้นจนจบ ภาพที่คนดูจะเห็นจากหนังนั้นก็คือภาพจากกล้องวิดีโอที่ตัวละครได้ทำการบันทึกไว้ทั้งหมด แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่และน่าสนใจมาก ๆ ในยุคนั้น

หนังเรื่อง Searching ก็เช่นกัน ทุกเหตุการณ์ที่เราจะได้เห็นในหนังเรื่องนี้จะถูกเล่าผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คในแต่ละช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Facebook Skype หรือ YouTube ทำให้เป็นการเพิ่มความน่าสนใจและคอนเซ็ปต์ที่แปลกใหม่ให้กับตัวหนังอย่างมาก และที่สำคัญคือไม่ได้ใช้งบประมาณที่มากมายอะไร แต่ก็สามารถเป็นหนังติดกระแส และมีคนให้ความสนใจอย่างล้มหลาม

Searching เสิร์ชหา สูญหาย หนังแนวลึกลับยุคใหม่ที่น่าจับตามอง และได้รับคะแนนรีวิวสูงจากหลาย ๆ ช่องทาง เริ่มเข้าฉายวันที่ 23 สิงหาคม 2561 ที่จะถึงนี้ อยากดูหนังที่ตื่นเต้น และน่าค้นหา อย่าพลาด Searching เสิร์ชหา สูญหาย

คะแนน: B+

 

จุดเริ่มต้นของคืนล้างบาท การจัดสรรค์ประชากรที่โหดเหี้ยมที่สุด กับ The First Purge

แน่นอนว่าไม่พูดถึงไม่ได้ สำหรับหนังใหม่มาแรงที่พึ่งเข้าโรงได้ไม่นานอย่าง The First Purge ปฐมบท ปฐมบท คืนอำมหิต เป็นหนังภาคต่อแนว Action thriller อีกหนึ่งเรื่องที่ไตรภาคแรกนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยคอนเซ็ปต์ของหนังที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์และชวนลุ้นระทึกไปกับสถานการณ์ต่าง ๆ ภายในเรื่อง ทำให้คนดูต้องคอยเอาใจตัวละครอย่างแทบหยุดหายใจ สำหรับแฟนหนังคนไหนที่ชอบการบู๊ล้างผลาญปนสยองนิด ๆ เรื่องนี้ควรจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คุณไม่พลาด

เรื่องราวการล้างบาทด้วยความรุนแรง กับการเอาชีวิตรอดให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง

                The First Purge เป็นผลงานการกำกับของ Gerard McMurray ผู้กำกับผิวสีชื่อดัง ที่เคยกำกับผลงานดังมากมายอย่าง Fruitvale Station ปี 2013 และ Burning Sands ปี 2017 เรื่องราวของ The First Purge นั้นถือเป็นปฐมบทของการเกิดคืนล้างบาปครั้งแรก ซึ่งที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน The Purge ทั้งสามภาคที่ได้เข้าฉายไปแล้ว หนังชุด The Purge เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้มีกฎหมายใหม่เปิดใช้งาน นั่นก็คือการอนุญาตให้มีคืนล้างบาป หรือ Purge Day ขึ้น ซึ่งความหมายของคืนล้างบาปนั้นคือ ทุกคนสามารถที่จะเอามากฆ่ากันได้ โดยที่อาวุธต่าง ๆ ถูกอนุมัติให้ใช้งานได้ การก่ออาญากรรมทุกรูปแบบนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย กฎหมายนี้จะถูกเปิดใช้งาน และหมดไปหลังจากครบ 12 ชั่วโมงแล้ว หรือเช้าแล้วนั่นเอง ก่อนที่จะเริ่มวันล้างบาปนั้น จะมีการประกาศเพื่อให้ทุกคนได้เตรียมตัวที่สำหรับวันแห่งนรกที่กำลังจะมาถึง และสัญญาณนี้จะดังอีกครั้งเมื่อวันล้างบาปสิ้นสุดลง

นั่นคือคอนเซ็ปต์คร่าว ๆ ของหนังชุด The Purge ที่แค่ได้ฟังเรื่องย่อยก็น่าสนใจแล้วมากแล้ว ซึ่งเรื่องราวของ The Purge ภาคแรกนั้น จะกล่าวถึงเหตุการณ์คืนล้างบาปในปีหนึ่ง ซึ่งตัวหนังจะให้ความสนใจไปแค่ครอบครัวหนึ่ง ที่ต้องทำการเอาชีวิตรอบ และรับมือกับพวกคนที่ต้องการจะเข้ามาพิพากษาพวกเขา จนมาถึงภาคสองที่กล่าวถึงวันล้างบาปของคนทั้งเมือง และขยายใหญ่ขึ้นอีกในภาคที่สาม ที่พูดถึงวันล้างบาปของทั้งประเทศ แต่ The First Purge นั้นคือการเล่าเรื่องเหตุการณ์วันล้างบาปวันแรกของประเทศ ซึ่งเป็นลักษณะของการเริ่มทดลองใช้งานกับแค่เมืองเดียวก่อน แน่นอนว่าผู้คนแตกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่เห็นด้วยให้มีการล้างบาป และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยให้มีการล้างบาป แต่สุดท้ายแล้ว รัฐบาลก็ตัดสินใจให้มีการล้างบาปวันแรกนี้ขึ้น โดยหนังเรื่องนี้จะเล่าเรื่องผ่านตัวละครพระเอกที่เป็น mafia ใหญ่ในเมือง แฟนเก่าที่เป็นนางเอก และน้องชายของนางเอกที่ช่วยกันเอาตัวรอดจากเหตุการณ์วันนรกนี้ไปให้ได้ ทุกคนจะได้รับรู้ถึงเรื่องราวในการล้างบาปที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม และฉาก action สุดมันและน่าตื่นเต้น เนื่องจากเหตุนี้ หนังเรื่องนี้จึงถูกกำหนดเรทการดูอยู่ที่ 18+

สำหรับแฟนคลับหนังชุด The Purge หรือใครที่ต้องการดูหนังคอนเซ็ปต์ดี ๆ อีกเรื่อง แนะนำว่าให้เข้าไปดู The First Purge กัน แม้ว่าคุณจะไม่เคยดูสามภาคแรกมาก่อน แต่คุณก็จะสามารถดูหนังเรื่องนี้ได้รู้เรื่อง และสนุกไปกับการเอาชีวิตรอดของคนที่ตกอยู่ในคืนแห่งการล้างบาปที่ไม่สามารถหนีพ้น เข้าโรงแล้ววันนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

คะแนน: B

 

จักรวาลที่รวมอสุรกายในตำนานไว้มากมาย เผยแนวทางต่อไปของ Dark Universe

                ถ้าพูดถึงอสุรกายหรือผีในตำนานของประเทศอียิปต์ พนันได้เลยว่ามากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์จะตอบว่ามัมมี่ หรือถ้าพูดถึงตำนานผีดูดเลือด ก็คงนึกถึงแดร็กคูล่า เรื่องราวเหล่านี้เป็นตำนานปีศาจหรืออสุรกายที่เราคุ้นเคยกันตั้งแต่สมัยเด็ก มีการทำออกมาเป็นซีรี่ย์และภาพยนตร์มากมาย ทั้งประสบความสำเร็จ และพังไม่เป็นท่า Universal Studio จึงตัดสินใจที่จะนำหนังเหล่านี้กลับมาใหม่อีกครั้ง และจะทำการรวมกันเป็นจักรวาลเหมือนค่ายหนังอื่น ๆ ที่ทำกันเช่น Marvel studio หรือ DC ที่มีจักรวาลเป็นของตนเอง โดยทาง Universal ใช้ชื่อจักรวาลนี้ว่า Dark Universe

เปิดจักรวาลด้วยผีผ้าพันแผล The Mummy พีคหรือพัง

                เริ่มด้วยการ remake หนังไตรภาคเรื่อง The Mummy นำแสดงโดย The Rock หรือ Dwayne Jonson ที่เคยเป็นกระแสมากก่อน Universal Studio จึงหยิบเรื่องนี้มาทำใหม่ในปี 2017 ซึ่งได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง Tom Cruse มาเป็นพระเอกในเรื่องนี้ แต่ผิดคาด เมื่อกระแสตอบรับออกมาได้ค่อนข้างไปในทางลบมากกว่าคำชื่นชม ยิ่งไปกว่านั้น Tom Cruse ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดแย่จากหนังเรื่องนี้อีกด้วย ทำให้แผนการที่คิดไว้ว่าจะเปิดจักรวาล Dark Universe อย่างเป็นทางการนั้นก็ต้องสะดุดลง ซึ่งในความริงแล้ว ก่อนหน้าหนังเรื่อง The Mummy นั้น ทางค่ายได้ผลิตหนังเรื่องหนึ่งออกมา หวังที่จะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของจักรวาล Dark Universe เช่นกัน นั่นก็คือ Dracula นั่นเอง แต่ก็พังไม่เป็นท่า เรียกได้ว่าหาคำชมได้อย่างมากสำหรับหนังเรื่องนี้

เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ทาง Universal studio คงต้องคิดหนักกับการทำหนังเรื่องต่อ และประเด็นเรื่องการสร้าง Dark Universe ขึ้นมา ในช่วงแรกนั้น มีภาพการโปรโมท Dark Universe ออกมาในลักษณะของภาพถ่ายนักแสดงชื่อดัง ที่จะมารับบทใน Project นี้ ในรูปภาพนั้นมี Tom Cruse รวมไปถึง นักแสดงโจรสลัดตลอดกาลอย่าง Johnny Deppที่จะมารับบทเป็น Invisible-man อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีอสุรกายอีกมากมายที่ถูกแพลนให้เข้ามาอยู่ใน Dark Universe ด้วย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หมาป่า หรือ The Wolf  creature from the black lagoon หรือ Frankenstein แต่เนื่องจากกระแสตอบรับอย่างที่เห็น ทำให้ยังอยู่ในกระบวนการตัดสินใจว่าจะทำต่อดี หรือจะเอาใครมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ในครั้งนี้ หลายคนก็ให้ความสนใจกับข่าวนี้ ไม่ว่าจะเป็น Studio Blumhouse Production ที่เป็นทีม Production ที่ผลิตผลงานคุณภาพมากมายออกมา เช่น The Purge Unfriend และ Insidious ที่ออกปากว่าเป็นไปได้ที่เขาอาจจะได้รวมงานกับทาง Universal Studio ในการสร้าง Dark Universe ขึ้นมาให้ หรือจะเป็นผู้กำกับที่การันตรีได้ถึงคุณภาพด้วยรางวัลโอสการ์จากหนังเรื่อง Shape of Water อย่าง Guillermo del Toro เจ้าตัวได้ออกมายอมรับว่าตัวละครสัตว์ประหลาดน้ำในเรื่องนั้น ได้รับแรงบันดาลใจมากจากหนังเรื่อง creature from the black lagoon และเป็นตัวละครที่เขาชอบเอามาก ๆ ความจริงแล้ว ทาง Universal เคยยื่นข้อเสนอให้เขาได้ทำหนังสัตว์ประหลาดมาแล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างในตอนนั้นเขาจึงได้ปฏิเสธไป แต่ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเขามาเป็นคนที่ทำให้ Dark Universe ประสบความสำเร็จก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม ก็คงเป็นเรื่องที่เราต้องคอยติดตามกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว Universe Studio จะทำอย่างไรต่อกับจักรวาล Dark Universe นี้ จะเลิกหรือจะนำผู้เชี่ยวชาญด้านการทำหนังสยองขวัญมาพลิกโฉมมันอีกครั้ง ต้องติดตามกันต่อไป

 

The Meg ฉลามยักษ์พันล้านปี หนังฉลามที่มีครบทุกรสทุกอารมณ์

                ในปี 1976 หลายคนไม่กล้าที่จะลงเล่นน้ำ ไม่ว่าจะเป็นสระน้ำ หรือทะเล บางคนถึงกับเป็นกลัวน้ำไปเลยก็ว่า เหล่านี้เป็นอิธพลจากการดูหนังเรื่อง Jaws หนังฉลามยักษ์เรื่องแรกจาก Universal Studio ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และกวาดรายได้ไปมหาศาล หลังจากนั้นก็มีการผลิตหนังแนวฉลามยักษ์ออกมามากมาย โดยพูดได้เลยว่ามีแรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง Jaws นี่เอง รวมไปถึงในปี 2018 นี้ มีหนังที่เกี่ยวกับฉลาดยักษ์อีกหนึ่งเรื่อง ที่น่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากรายชื่อนักแสดงนำนั้นเป็นนักแสดงที่น้อยคนจะไม่รู้จัก นั่นก็คือ Jason Statham พระเอกจอมบู้ล้างผลาญจากหนังดังหลาย ๆ เรื่องอย่าง Transporter หรือ Fast and Furious นั่นเอง

Megalodon ฉลามที่ใหญ่ที่สุดบนจอเงิน ความสำเร็จจากการร่วมมือของจีนและอเมริกา

เมื่อได้ยินชื่อของ Jason Statham แล้ว ก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องฉาก Action และความตื่นเต้นของหนังเรื่องนี้แน่นอน โดยหนังเรื่อง The Meg นั้นเป็นการร่วมมือกันระหว่างสองประเทศ นั่นก็คือประเทศจีนและอเมริกา ซึ่งก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจในเรื่องของคำวิจารณ์และรายได้ นอกจากฉากบู๊ต่าง ๆ และ CG นั้นถือว่าทำได้ดี รวมไปถึงการรักษาคอนเซ็ปต์ของหนังฉลามยักษ์ไว้ได้อีกด้วย โดยหนัง The Meg นี้จะเล่าเกี่ยว Jonas นักกู้ภัยทางน้ำ ที่เคยได้ทำการช่วยเหลือทีมสำรวจทีมหนึ่งที่เคยเจอกับเจ้าฉลาม Megalodon นี่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่ในตอนนั้นเขาไม่สามารถที่จะช่วยเหลือทุกคนในทีมไว้ได้ ทำให้กลายเป็นตราบาปติดตรึงเขามาตลอด

วันหนึ่ง มีมหาเศรษฐีคนหนึ่งต้องการจะสร้างโลกใต้น้ำขึ้นมา และต้องการที่จะเป็นคนแรกที่ลงสู่ความลึกที่โลกไม่เคยได้สำรวจมาก่อน จึงได้ส่งทีมสำรวจลงไป และทีมสำรวจเหล่านั้นก็พบกับเจ้า Megalodon เช่นกัน จึงเป็นหน้าที่ของ Janas อีกครั้งที่จะลงไปช่วยทีมสำรวจนี้อีกครั้ง แต่เรื่องราวไม่ได้จบแค่นั้น เมื่อเจ้า Megalodon ที่อาศัยอยู่ใต้ใช้บรรยากาศนั้น ตามเรือดำน้ำสำรวจออกมา และสามารถขึ้นมาถึงน่านน้ำของประเทศจีนได้ จึงเกิดเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้น ซึ่ง Janas จะรับมือกับเจ้าฉลาด Megalodon อย่างไร ต้องไปติดตามชมกันในหนัง เรื่อง The Meg กัน

มีหลายคนที่ดูหนังเรื่อง The Meg แล้วออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ในเรื่องของการรวมเอาคอนเซ็ปต์เด่น ๆ จากหนังฉลามหลาย ๆ เรื่องมารวมกันในเรื่องเดียว เช่น Jump Scare ต่าง ๆ และเอกลักษณ์ของหนังฉลามที่เล่นกับทะเลและผู้คน ความ Over action ปน Sci-Fi เล็กน้อย จากเรื่อง Deep blue Sea ซึ่งเอาใจทั้งคนที่ชอบดูหนังฉลามแบบต้นฉบับ และฉลาดแบบลึกลับ เหนือธรรมชาติทั้งสองแบบ รวมไปถึง The Meg หรือ Megalodon ที่อยู่ในเรื่องเมื่อเทียบกับหนังฉลามเรื่องอื่น ๆ แล้วนั้นถือว่าเป็นฉลามที่มีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีหนังฉลามขึ้นมาบนโลกอีกด้วย

สำหรับใครที่ชอบหนังแนวฉลาม และยังไม่เคยเห็นฉลามที่มีขนาดใหญ่ถึง 60 ฟุคแล้ว ไม่ควรพลาดหนังเรื่อง The Meg เป็นอันขาด แล้วทุกความรู้สึกของกลัวน้ำ หรือไม่กล้าลงน้ำของท่าน จะกลับมาอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน

คะแนน: B

 

A Quiet Place ดินแดนไร้เสียง

วันนี้เรามาเอาใจคนรักภาพยนตร์ที่เป็นสาวกแนวระทึกขวัญ หลอนประสาท และกดดันกันสุดขีด กับภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวใหม่ ที่ไม่ต้องใช้คนแสดงเป็นสิบก็ดำเนินเรื่องได้แบบถึงใจสุด ๆ มีตัวละครที่ดำเนินเรื่องคือ คู่สามีภรรยาและลูก ๆ ของพวกเขา ซึ่งรับบทโดยเอมิลี่ บลันต์ ภรรยาในชีวิตจริงของจอห์น คราซินสกี รับหน้าที่เป็นทั้งพ่อในเรื่องและเป็นผู้กำกับอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นหนังแนวระทึกขวัญที่ดีที่สุดของปีนี้เลยทีเดียว เพราะเนื้อเรื่องเล่นกับความเงียบ และความสัมพันธ์ในครอบครัว เป็นปมปัญหาที่ขนาดคุยกันด้วยเสียงยังก็แก้ยาก แล้วเรื่องนี้ต้องคุยกันด้วนภาษามือ กดดันคนดูจนแทบไม่กล้าหายใจกันเลยทีเดียว

เริ่มต้นเรื่องราวด้วยความเงียบ พร้อมกับบรรยากาศของเมืองที่เหมือนจะร้างจนไร้ผู้คน แต่ก็มีครอบครัวหนึ่งที่ยังอยู่รอด นั่นคือ ครอบครัวแอบบอตต์ พวกเขากำลังจะเดินทางด้วยเท้า เพื่อไปสร้างหลักแหล่งอยู่นอกเมือง โดยการโรยทรายไปตามทางเพื่อไม้ให้เกิดเสียงเวลาเดิน ในแต่ละวันพวกเขาต้องดำเนินชีวิตกันแบบไร้เสียง เพราะถ้ามีใครทำเสียงดังขึ้นมาละก็ เจ้าสิ่งลับมันจะบุกมาคร่าชีวิตของพวกเขาทันที เนื้อเรื่องดำเนินไปด้วยความเงียบ สำหรับคนที่ไปดูในโรงภาพยนตร์คงจะรับรู้ความรู้สึกที่ว่า หนังสามารถคุมคนดูได้อย่างอยู่หมัด จากที่มีเสียงคนคุยกันคึกคัก เสียงขบเคี้ยวขนมในตอนแรก พอเมื่อหนังเริ่มฉายได้ไม่ถึง 5 นาที ทุกอย่างก็เงียบสนิท เหมือนไม่มีคนดูอยู่ในโรง เมื่อมีฉากที่เกิดเสียงดังก็จะได้ยินเสียงสูดลมหายใจของคนในโรงอย่างแผ่วเบา เรียกได้ว่าเป็นหนังเงียบที่ทำได้ดีสมกับชื่อเรื่องจริง ๆ

ปมของหนังเล่นกับความรู้สึกของคนดูอย่างหนักหน่วง ความกดดันที่ไม่สามรถออกเสียงได้ ความเศร้าโศกจากการสูญเสียลูกชายตัวน้อย ๆ ไป และความเจ็บปวดของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ไม่สามารถปลอบโยน หรือแม้แต่ร้องไห้ให้ลูกได้ เป็นความเจ็บปวดที่ดาราชื่อดังอย่าง เอมิลี่ บลันต์ ต้องใช้ทักษะในการแสดงอารมณ์ทางสีหน้าที่ยากมาก ๆ แต่เธอก็สามารถทำออกมาได้เข้าถึงคนดูอย่างลึกซึ้งจริง ๆ เนื้อเรื่องดำเนินต่อไปเกือบสองร้อยวัน แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็อุบัติขึ้น เมื่อเธอเกิดตั้งครรภ์ ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะคลอดทารกออกมาโดยไม่ใช้เสียง พวกเขาจึงพยายามสร้างห้องเก็บเสียงขึ้นมา ในส่วนนี้หนังสื่อถึงบทบาทของพ่อแม่ได้ชัดเจน การพยายามหาหนทางที่จะปกป้องลูกๆ และช่วยลูกสาวคนโตที่หูหนวก ซึ่งเป็นอีกตัวละครที่ต้องขอชื่นชมว่าแสดงได้ดีจริง ๆ เพราะมิลลิเซ็นต์ ซิมมอนด์ ในบทเรแกน เธอคือเด็กสาวที่หูหนวกจริงๆ ซึ่งถือว่านักแสดงทุกคนทำงานกันอย่างหนักเลยทีเดียว

สำหรับใครที่ยังลังเลว่าควรดูดีหรือไม่ หรือไม่เคยดูหนังแนวระทึกขวัญกดดันความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ขอแนะนำให้ลองเปิดใจให้กับเรื่องนี้ดูนะ รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

 

 “Primeval” โคตรเคี่ยมฟอร์มเล็ก ที่ไม่ได้มีดีแค่จระเข้

                เดี๋ยวนี้หนังจระเข้ งูใหญ่ไล่ล่า ไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนแต่ก่อน ออกมาแต่ละเรื่องก็จะเป็นฟอร์มเล็ก ๆ ไม่ได้เข้าโรง CG จระเข้ก็จะออกแนวตลกแทบทุกเรื่อง แต่ในบรรดาหนังสัตว์ไล่ล่าทั้งหมดที่ได้ดูมา มีอยู่เรื่องหนึ่งที่รู้สึกว่าเข้มข้นต่างจากเรื่องอื่น แถมสร้างจากเรื่องจริงนั่นคือ “Primeval”(2007) นั่นเอง

“Primeval” เล่าถึงความสยองในพื้นที่ห่างไกลของ “กุสตาฟ” จระเข้ใหญ่ยักษ์ จอมกระหายเลือดแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ เขตบุรุนดี ในแอฟริกา ที่ไล่ฆ่า กินคนกว่า 300 ชีวิต แลไม่มีวี่แววว่าจะหยุด เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ กุสตาฟ ฆ่าชีวิตนักข่าวสาวผิวขาว จนกลายเป็นข่าวฮือฮา ส่งผลให้ทีมข่าวอเมริกาถูกส่งไปทำข่าวดังกล่าว และไล่ล่ากุสตาฟตัวเป็น ๆ ให้จนได้ โดยมีโปรดิวเซอร์ ทิม ฟรีแมน (โดมินิค เพอร์เซล ), ตีฟ จอห์นสัน ( ออแลนโด โจนส์ ) ตากล้อง และ ผู้เชี่ยวชาญสัตว์ เป็นคนนำทีมข่าวลงพื้นที่เพื่อตามหาเป้าหมายของพวกเขา แต่ยิ่งตามหาพวกเขาก็ยิ่งเข้าใกล้อันตราย และปริศนาดำมืดของพื้นที่ดังกล่าว ที่ไม่ได้มีแค่จระเข้ยักษ์ที่เหี้ยมโหดเท่านั้น

Primeval ความโหดเหี้ยมไม่ได้มีแต่ในจระเข้ยักษ์!

                นอกจาก Primeval จะชูโรงด้วยจระเข้ยักษ์ “กุสตาฟ” หนังยังเล่าถึงเส้นเรื่องรอง “ลิตเติ้ล กุสตาฟ” ผู้ทรงอิทธิพลในเขตพื้นที่ ที่ไล่ล่าคนในพื้นที่อย่างเยือกเย็น โหดเหี้ยม ยิ่งกว่าสัตว์ จนได้รับฉายาตามจระเข้กุสตาฟ นอกจากระทึกจระเข้ ยังต้องมาระทึกเหตุการณ์ฆ่ายกครัว ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ปัญหาดำมืดในแทบแอฟริกาในสมัยก่อน ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ มีดีมากกว่าจระเข้ยักษ์ไล่ล่าคนไปเรื่อย กินกันจนจบเรื่อง เข้มข้นมาก ๆ

สำหรับเนื้อเรื่อง ของ Primeval โดดเด่นกว่าหนังสัตว์ไล่ล่า เรื่องอื่น ๆ นอกจากจะมีเส้นเรื่องหลักในการตามหาจระเข้แล้ว เส้นเรื่องรอง การหนีจากอันตรายของลิตเติ้ล กุสตาฟ  เข้มไม่แพ้กัน จังหวะในการไล่ล่า ก็ไม่ได้ใส่เอาเป็นเอาตาย เกลี่ยได้ดี มีช่วงพักหายใจ พร้อมกับมีเรื่องราวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาแถมให้ลุ้นกันไปอีก  นอกจากนี้เราจะได้เห็นความเชื่อของคนแถบแอฟริกา วิถีชีวิต ส่งผ่านออกมาแบบเนียน ๆ ส่วนที่มาของจระเข้น่ากลัวกว่าเรื่องอื่น ๆ เพราะสร้างมาจากเรื่องจริง ! กินจริง ตายจริง ส่วนเรื่อง CG ของจระเข้น้อย กุสตาฟนั้น ก็ไม่ได้แนบเนียนอะไรมาก แต่ก็ถือว่าทำดีกว่าจระเข้จีนแดงหลายตัวที่โลดแล่นออกมาบนแผ่นฟิล์ม

ถ้าใครชอบหนังแนวสัตว์ไล่ล่า ไล่ฆ่า ทดลองในแลปแล้วผิดสูตร ดุร้ายขยายร่าง อย่าง งูใหญ่ Anaconda 1 (1997) ฉลามโหด Jaws (1975) ก็ไม่ควรพลาดความโหดของ “กุสตาฟ” ด้วยประการทั้งปวง

เกร็ดความรู้ : “กุสตาฟ”(Gustave) เป็นจระเข้แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ ที่มีความกว่า 6 เมตร อายุยืนยาวกว่า 60 ปี ชื่อเสียงของมันคือการเป็นนักฆ่าชั้นยอด เพราะร่ำลือกันว่าฆ่าคนมากกว่า 300 คนเดียวทีเดียว เคยมีผู้พบเห็นบอกว่าลำตัวของกุสตาฟเต็มไปด้วยบาดแผลของการต่อสู้
คะแนน
: B