Love, Simon นำเทรนด์หนังวายโลกสวย

Love, Simon ของผู้กำกับเกร็ก เบอร์ลานติ เรื่องนี้มีความเป็นโรแมนติกคอมเมดี้ที่มีพล็อตสบาย ๆ และถูกปล่อยออกมาในตอนที่ผู้คนต้องการเสพอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่จำเจและไม่ซับซ้อน แต่แทนที่จะเป็นหนังพระเอกนางทั่วไป ก็เปลี่ยนใหม่ให้เป็นพระเอกนายเอกซะนี่ ก็เลยขึ้นแท่นหนัง Feel good ในดวงใจสาววายไปแล้ว

                หนังเป็นเรื่องราวของ Simon Spier หนุ่มมัธยมปลายได้มีโอกาสติดต่อทางอีเมลล์กับหนุ่มที่ใช้นามแฝงว่า Blue และดูเหมือน Simon จะรู้สึกชอบ Blue แล้วด้วย แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ Simon ไม่รู้ว่า Blue ตัวจริงนั้นเป็นใคร การดำเนินเรื่องส่วนใหญ่จึงเป็นการสืบและตามหาว่า Blue คือใครกันแน่ ซึ่งหนังจะฉายเห็นบรรดาหนุ่ม ๆ ที่ Simon สงสัย มีทั้งเพื่อนตัวเอง เพื่อนของเพื่อน เพื่อนต่างชั้นในโรงเรียน เราจะได้เห็นความน่ารักน่าจิ้นของ Simon กับหนุ่มผู้ต้องสงสัย คอยลุ้นตามว่าคนไหนนะที่จะมาคู่น้องม่อนของเรา แต่ที่เรารู้สึกได้อยู่ตลอดก็คือ ไม่ว่าจะเฉลยออกมาเป็นใคร Simon ก็พร้อมจะยอมรับคนนั้นด้วยหัวใจ (ก็ขนาดแค่คุยทางอีเมล์ยังชอบเขา จะลงทุนตามหาเขาขนาดนี้นี่เนอะ) สิ่งที่น่าสนใจคือในการคุยกันผ่านอีเมลล์ Simon จะลงท้ายด้วย Love, Jacques ซึ่งหมายความว่าเขาเองก็ยังใช้นามแฝง ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวตนว่าตัวเองชอบผู้ชาย อยากให้ไปติดตามกันเองว่าอะไรที่ทำให้เขาตัดสินใจเปลี่ยนจากการใช้นามแฝง มาใช้คำลงท้ายจดหมายเป็น Love, Simon         

เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ อยู่ที่มีความเป็นหนังรักวัยรุ่นแบบโรแมนติกคอมเมดี้ พล็อตไม่ลึก ไม่ซับซ้อน มีความแตกต่างจากรอมคอมทั่วไปก็แค่เป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบผู้ชายอีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง แม้ช่วงแรก ๆ จะเห็นว่าพระเอกของเรามีความหนักใจเกี่ยวกับความลับเรื่องตัวเองเป็นเกย์อยู่บ้าง แต่ความกดดันนั้นก็หาทำให้คนดูเครียดตาม เรากลับดูหนังด้วยความผ่อนคลาย สบายใจ และความกดดันของ Simon ก็ผ่อนคลายขึ้นเยอะเพราะความน่ารักของพ่อแม่ ความตลกสดใสปนฮาของบรรดาเพื่อน ๆ เป็นการดูหนังที่คอยแต่จะเอาใจช่วย Simon ให้กล้าเปิดเผยตนเอง (Come Out) และเอาใจช่วยเจอบลู ซึ่งในตอนเฉลยว่าบลูเป็นใคร หลายคนอาจจะคาดไม่ถึง หรืออาจจะมีผิดหวังกันนิดหน่อยเพราะไม่ตรงกับคนที่เราเชียร์อยู่ก็ได้นะ สุดท้ายอยากจะบอกว่าเพลงประกอบทำได้เข้ากันกับหนังดีจัง โดยเฉพาะเพลง Strawberries & Cigarettes นี่ฮิตติดชาร์ตกันเลยทีเดียว

ดูหนังจบ สรุปกับตัวเอง 3 ข้อ คือ 1) นี่มันหนังโรแมนติกคอมเมดี้เวอร์ชั่นชายชอบชายที่มีเนื้อหาเป็นมิตรกับมนุษย์โลกชะมัดเลย 2) นี่มันหนังชายชอบชายที่ส่งเสริมให้ LGBT ออกมายอมรับตัวเองกับสังคมได้ไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่ เพราะเนื้อหาตอนจบมันส่งเสริมการ Come Out มาก ๆ  3) เป็นหนังวายที่มีความโลกสวยมากที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยดูมา

Friend Zone ระวัง..สิ้นสุดทางเพื่อน

กลายเป็นหนังรอมคอมขวัญใจมหาชนไปแล้ว สำหรับ Friend Zone ระวัง..สิ้นสุดทางเพื่อน ของผู้กำกับ ชยนพ บุญประกอบ ที่เคยฝากผลงานการกำกับเรื่อง Suckseed ห่วยขั้นเทพ (2554) เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ (2558) สำหรับ Friend Zone นี้เป็นหนังแนวโรแมนติก-คอมเมดี้ ผลิตโดยจอกว้างฟิล์ม และจัดจำหน่ายโดย GDH 559 นำแสดงโดยหนุ่มรูปหล่อมาดอบอุ่นน้องนาย ณภัทร เสียงสมบุญ และสาวสวยมากฝีมืออย่างใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์

                ความ Friend Zone นี้ เริ่มจาก ปาล์ม (นาย ณภัทร) และกิ๊ง (ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก) เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยมัธยม เหตุการณ์ดราม่าบางอย่าง ทำให้ปาล์มบอกกับกิ๊งประมาณว่าถ้าไม่มีใครรักกิ๊ง ปาล์มจะรักกิ๊งเอง ผู้หญิงอ่อนไหวหัวใจสับสนอย่างกิ๊งเลยถามกลับว่า “รักแบบไหน?” ปาล์มตอบว่า “รักแบบเพื่อน” นั่นแหล่ะ Friend Zone จึงเกิดขึ้นและกินเวลาต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน กิ๊งคบและเป็นแฟนกับพี่เท็ด (เจสัน ยัง) ซึ่งทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ทำเพลงที่ต้องเดินทางไปทำเพลงให้ศิลปินสาว ๆ ในแถบประเทศเพื่อนบ้าน อยู่ ๆ มากิ๊งสงสัยว่าพี่เท็ดจะนอกใจ จึงจะตามไปดูว่าพี่เท็ดนอกใจไปกับสาวนักร้องหรือไม่ และกิ๊งก็ชวนปาล์มไปเป็นเพื่อน ในการเดินทางทริปแอบตามจับพี่เท็ดนอกใจนี่เอง คนดูจะได้รับชมเรื่องราวสนุก ขำ มุกฮา ๆ ความน่ารักเป็นธรรมชาติของใบเฟิร์น และความดีงามของน้องนาย

                สำหรับคอหนังที่ชื่นชอบสไตล์โรแมนติกคอมเมดี้ คงไม่ผิดหวังแน่นอน เป็นหนังที่ดูแล้วอารมณ์ดี คลายเครียดได้ดีที่เดียว ดูไปจะมีฉากซ้ำประปราย สลับมุกฮา ๆ เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเรื่อง ดูเพลินดี ที่สำคัญคือพระนางเล่นได้น่ารัก และเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะสองคนนี้คุยกันดูถูกคอ มีการหยอกล้อแบบเพื่อนสนิท บทสนทนาในซีนดราม่าก็ดูธรรมชาติดี ไม่รู้สึกแปลกหรือเติมแต่งเลย เหมือนเพื่อนคุยกัน น้องนาย ณภัทรหล่อ น่ารัก ออร่ามากมากแบบต้องร้องขอชีวิต ส่วนใบเฟิร์นเล่นดี หน้าสวย และชอบฉากอ่างอาบน้ำที่มีความเซ็กซี่นิด ๆ และขาใบเฟิร์นสวยมาก และต้องชมทีมงานที่คงทำการบ้านมาดีเรื่องการตามเทรนด์ ตามกระแสในโลกปัจจุบัน พวกคำพูดที่เป็นภาษาสมัยใหม่ พวกเหตุการณ์หรือเรื่องที่คนประเภทเฟรนด์โซนเจอบ่อยก็เอามาขยี้เป็นมุกฮา ๆ ได้ดี และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมุมกล้องสวย โลเคชั่นดี ภาพสวย รู้สึกว่าทีมงานเก็บงานภาพได้ละเอียดและออกมาดีมากเลยทีเดียว

หนังขยี้หัวใจประชากรชาว Friend Zone ด้วยประโยคธรรมดา ๆ ที่ได้ยินบ่อยแต่ฟังแล้วเจ็บจี๊ด “เป็นเพื่อนกัน มันก็ดีอยู่แล้ว” ซึ่งหนังเรื่องนี้คงได้ใจกลุ่มคนที่กำลังตกอยู่ในเฟรนด์โซนไปเยอะเอาการ และจะเห็นว่าหนังใช้สัญลักษณ์เกี่ยวกับสนามบินและเครื่องบินเยอะ ด้วยชื่อหนัง “ระวัง..สิ้นสุดทางเพื่อน” ก็ล้อมาจากเสียงเตือนระวังสิ้นสุดทางเลื่อนในสนามบิน พระเอกก็เป็นสจ๊วต การเดินทางของนางเอกกับพระเอกก็มีฉากบนเครื่องบินตลอด และที่สำคัญ…ฉากที่เป็นต้นกำเนิด Friend Zone ของสองคนนี้ก็เกิดบนเครื่องบิน