Summer Wars เรื่องวุ่น ตระกูลใหญ่ อนิเมชั่นที่ทำให้หัวใจคุณพองโต

Summer Wars เป็นอนิเมชั่นญี่ปุ่นแนวไซไฟ เปิดตัวที่ประเทศญี่ปุ่นปี 2009 และเข้าฉายในไทยปี 2012 เรื่องราวอยู่ในยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างจัดการได้ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ที่เปรียบเป็นโลกเสมือนจริง และมีชื่อเรียกว่า ออซ แต่ละคนในโลกความจริงจะสร้างตัวตนอวตารขึ้นในโลกเสมือนหรือ ออซ เพื่อจัดการเรื่องราวต่าง ๆ เช่น การทำธุรกรรมทางการเงิน หรือการติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เนื้อเรื่องเล่าผ่านเด็กหนุ่มผู้มีความสามารถด้านคณิตศาสตร์ เค็นจิ โคอิโสะ ที่ทำงานพาร์ทไทม์ เป็นผู้ดูแลความปลอดภัยให้กับระบบออซ เค็นจิถูกจ้างวานโดยนัทสึกิ ชิโนะฮาระ เด็กสาวรุ่นพี่ในโรงเรียน ให้ไปแสดงตัวเป็นแฟนหนุ่มของเธอในงานวันเกิดครบรอบ 90 ปีของคุณย่าทวด ที่เมืองยูเอดะ เพื่อให้คุณย่าทวดและญาติ ๆ สบายใจกับการมีแฟนเป็นตัวเป็นตน งานนี้ไม่ยากไม่ง่ายแต่มันสำคัญตรงที่เค็นจิก็แอบปลื้มนัทสึกิอยู่จริง ๆ นี่สิ เนื้อเรื่องถูกเล่าในฉากชนบทที่สวยงามและบ้านโบราณของตระกูลใหญ่ เก่าแก่ “จินโนะอุจิ” พร้อมกับการรวมตัวของคนในครอบครัว จินโนะอุจิ ที่มาเฉลิมฉลองงานวันเกิดคุณย่าทวดด้วยกัน

เค็นจิในโลกความเป็นจริงดูจะขี้อายเงอะๆงะๆ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้านัทสึกิ แต่ความสามารถด้านคณิตศาสตร์ของเขา ใช้ถอดรหัสตัวเลขยาก ๆ ที่ส่งมาทางข้อความโทรศัพท์ได้แบบไม่เหนือบ่ากว่าแรง แต่บังเอิญว่ารหัสที่ถอดนั้นดันไปเกี่ยวข้องกับการจารกรรมข้อมูล ที่ทำให้ระบบออซปั่นปวนไปหมด ตัวตนอวตาลของประชาชนถูกกลืนกิน มี AI ประหลาดเข้ามาปั่นป่วนระบบ ระหว่างที่โลกเสมือนกำลังวุ่นวายโลกความจริงก็ย่ำแย่ตามไปด้วย การติดต่อสื่อสารทุกอย่างกลายเป็นอัมพาต เมืองทั้งเมืองสับสน เนื้อเรื่องดำเนินไปคู่ขนานกันระหว่างการแก้ปัญหาในระบบออซ และในโลกของความเป็นจริง แต่ด้วยความที่ญาติพี่น้องตระกูล จินโนะอุจิ รวมไว้ด้วยคนมีความสามารถและพร้อมจะช่วยเหลือกัน เมื่อคนที่บ้านจินโนะอุจิและเค็นจิร่วมมือกัน เรื่องก็เริ่มสนุกและชวนให้ลุ้นไปกับการแก้ปัญหาของตัวละครในเรื่อง ด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากการต่อสู้กันของร่างอวตาลในระบบออซ การใช้วิธีสื่อสารแบบดั้งเดิมเพื่อช่วยเหลือกันในโลกจริง การชิงไหวพริบถอดรหัสตัวเลข และการตัดสินสุดท้ายด้วยเกมไพ่

แม้ว่า Summer Wars จะดำเนินเรื่องในฉากอนาคต แต่กลับสะท้อนสภาพสังคมในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ตัวเรื่องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว น่าสนใจและแปลกใหม่ เมื่อเทคโนโลยีในโลกเสมือนที่ทุกอย่างสะดวกสบายหยุดชะงัก ทำให้เราได้กลับมาเห็นจิตวิญญาณของคนที่เป็นเป้าหมายของการสื่อสารที่แท้จริง ความต้องการที่จะช่วยเหลือกัน ทำให้ความฝัน ความหวัง ความเสียสละของคนผู้คนมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น Summer Wars สะท้อนภาพในปัจจุบันของผู้คนที่ใจหนึ่งก็ยึดติดอยู่กับอดีตที่งดงามกับอีกใจก็จดจ่ออยู่กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ใฝ่ฝัน สับสนไปว่าอันไหนคือความจริงระหว่างตัวคนที่มีชีวิตจิตใจกับตัวคนที่สร้างขึ้นในโลกออนไลน์ การอยู่โดดเดี่ยวในเมืองที่มีอิสระแต่ก็แฝงด้วยเงาของความเหงาหรือการอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ที่แสนจะวุ่นวายแต่ก็น่ารัก อนิเมชั่นเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวออกมาได้อย่างกลมกล่อม เชื่อว่าท่านผู้ชมจะได้ข้อคิดดี ๆ และหัวใจพองโตขึ้นแน่นอนหลังจากได้ดูจบ

Cloud Atlas หยุดโลกข้ามเวลา

ภาพยนตร์เรื่องนี้ ดัดแปลงจากหนังสือนิยาย เมฆาสัญจร (Cloud Atlas) ของเดวิด มิตเชลล์ เขียนบทและกำกับโดย Lana และ Andy Wachowski และ Tom Tykwer เป็นหนังที่ลำดับภาพได้ตื่นตาตื่นใจดี ตัดภาพเล่าเหตุการณ์ประสานเรื่องราวไปมา ช่วงแรกคนดูอาจจะดูไม่รู้ว่าหนังฉายภาพภาพนั้นภาพนี้นั้น หนังต้องการโฟกัสอะไร หรือว่าหนังต้องการจะบอกให้เรารู้อะไร แต่ค่อย ๆ ดูไปก็จะ “คล้อยตาม” ไปได้ทั้งหมด

Cloud Atlas หรือชื่อไทย หยุดโลกข้ามเวลา เป็นการเล่าเรื่อง 6 เรื่อง ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่ต่างกัน (หรืออาจเรียกว่าชาติภพเลยก็ได้) แต่ละเรื่องเชื่อมกันไว้ด้วยปานรูปดาวหาง ที่อยู่บนตัวของตัวละคร 6 คน แต่จะว่าไปมองอีกมุมหนึ่งก็เข้าใจได้ว่าหนังเชื่อมโยงกันไปหมดทุกตัวละครนั่นแหละ ทุกคนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาทุกชาติทุกภพ 6 เรื่องราว 6 ชาติภาพนั้น มีดังนี้

 – บันทึก (อดัม อีวิง)

– จดหมายถึงคนรัก (โรเบิร์ต โฟรบิเชอร์)

– บทความข่าวหรือต้นฉบับชื่ออะไรหว่าอ่านไม่ทัน (หลุยซ่า เรย์)

– นิยายชีวิตที่ถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ (ทิโมที คาเวนดิช)

– คำให้การ (ซอนมี-415)

– การเล่าความหลังให้หลาน ๆ ฟัง (แซคคารี่)

       หนังเรื่องนี้ได้ นักแสดงยอดฝีมือของฮอลีวูดมาร่วมแสดงมากมาย ทั้งทอม แฮงค์, ฮัลลี่ เบอรี่, ฮิว แกรนต์, ฮิวโก้ วีฟวิ่ง,จิม สเตอเจส เพราะฉะนั้นฝีมือการแสดงนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องการเข้าถึงบทบาท และการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก ทุกเรื่องจะมีจุดเชื่อมถึงกัน ทำให้รู้ว่าเรื่อง 6 เรื่องนี่มันเกิดกันคนละเวลา คนละสมัย อีกอย่างคือภายใต้เรื่องของตัวละครหลักของเรื่องหนึ่ง ก็จะมีตัวละครหลักของเรื่องอื่นมาเป็นตัวประกอบ ตรงนี้เองที่ทำให้เห็นว่า อย่าไปจริงจังอะไรกับชาติหน้าเลยว่าเราเคยเป็นคนสำคัญหรือคนยิ่งใหญ่น่าจดจำในชาตินี้แล้วชีวิตชาติหน้าจะสุขสบาย ความสุขสบายใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ทำในชาตินี้หรือชาติหน้า แต่ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราในปัจจุบันว่าจะเลือกเส้นทางและสร้างความสุขใจให้ตัวเองและคนรอบข้างแบบไหน โดยสาระของหนังนั้น เท่าที่พอจะสรุปได้นั้นจะกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด มีลักษณะของปรัชญาพระพุทธศาสนา พูดถึงการโอบอ้อมอารีเพื่อนมนุษย์ การเห็นคุณค่าของชีวิต (ทั้งชีวิตผู้อื่นและชีวิตตนเอง) และผลของกรรมที่ตามผู้กระทำไปทุกภพทุกชาติ แต่หนังไม่ได้บอกออกมาตรง ๆ แบบบอกโต้ง ๆ ว่าเป็นอย่างนั้น ๆ อย่างนี่ แต่เป็นลักษณะเรื่องเล่าที่ผ่านมุมมองของคน 6 คน ที่เล่าเรื่องของตนเองผ่านวิธีต่างกันไป

     รู้สึกชอบและตื่นเต้นกับการเล่าเรื่อง มันทำให้เราดูได้เรื่อย ๆ โดยไม่ต้องมาคลิกดูเวลาเลยว่าเมื่อไหร่หนังจะจบ และ ชอบเพลง Cloud Atlas Sextet มันเรียกน้ำตานะ แอบคิดว่า Cloud Atlas: เมฆาสัญจร (ชื่อไทยของเวอร์ชันหนังสือ) น่าจะเหมาะกว่า หยุดโลกข้ามเวลา (ชื่อไทยของเวอร์ชันหนัง) ที่สำคัญคือ เรื่องทั้งหมดมันมีลักษณะเป็นเรื่องเล่า เป็นรูปแบบของนิยาย (จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อยากอ่านฉบับหนังสือ) มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นนะเมื่อนึกถึงงานเขียนแบบนี้ สรุปว่า เป็นหนังน่าดูอีกเรื่องหนึ่ง ที่คู่ควรแก่การพูดถึงเมื่อเวลาผ่านไป…เราจะยังสามารถชื่นชมหนังเรื่องนี้ได้ว่าเป็นหนังที่เล่าเรื่องได้น่าติดตามมาก