10 Things I Hate About You หนังที่สอนให้นับหนึ่งถึงรัก

ถ้าคุณกำลังมองหาหนังรอมคอมเบาสมองหนักหัวใจที่ว่าด้วยชีวิตไฮสคูลสักเรื่อง หนังชื่อดังอมตะอย่าง 10 Things I Hate About You คงเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ใครหลายคนจะแนะนำ หรือกระทั่งคนที่เคยดูมาแล้วก็คงนึกอยากดูซ้ำได้อย่างไม่น่าสงสัย โยนปรัชญาความรักและจิตวิทยาใด ๆ ที่เอ่อล้นไปด้วยเอกสารมากความและวิชาการหนักหัวออกไป ภาพยนตร์แห่งความน่ารักเรื่องนี้จะจูงมือคุณไปสู่ประตูวิวาห์ที่แสนหวานฉ่ำ

องค์ประกอบของหนัง

Can’t take my eyes off you คือเพลงประกอบที่น่ารักกินใจ การจะหาเพลงไหนที่เหมาะเจาะเข้ากับเรื่องได้มากขนาดนี้คงเลือกได้ยากยิ่งและอาจไม่มีอีกแล้ว หนึ่งในฉากตำนานที่ใครหลายคนจดจำได้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือท่าทางแสนขี้เล่นของ ฮีธ เลดเจอร์ ในบทของ แพทริก หนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ของโรงเรียน กับบทกลอนที่แคตอ่านในห้องเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์แสนแสบ กับความเกลียดไม่ลงของเธอที่มีต่อชายหนุ่มผู้เป็นที่รัก ก็กลับกลายเป็นจุดสำคัญ หรือเรียกได้ว่าฉากไคลแม็กซ์ อันเป็นที่มาของชื่อเรื่องเลยก็ว่าได้

ทุกวันนี้หนังของชีวิตวัยรุ่นที่นุ่มเบาจนเหมือนความฝันแสนหวานที่ฮิต ๆ กันในเน็ตฟลิกซ์ ก็คงต้องเรียกหนังอมตะเรื่องนี้ว่ารุ่นแม่ เพราะความโด่งดังและตราตรึงของบทภาพยนตร์ที่ได้ทำเอาไว้ ความสดใสซาบซ่าของเด็กมัธยมไฮสคูลจะปลุกพลังอะไรบางอย่างในตัว ให้แก้มกลับมามีสีฝาด ให้หัวใจกลับมาเต้นผิดจังหวะ ให้มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างไร้สาเหตุอีกครั้ง ราวกับว่าเราถูกดูดเข้าไปในห้วงเวลาอันแสนหวานใสอย่างที่ตัวละครเป็นกัน

10 Things I Hate About You เติมให้เราเต็มอิ่มกับทุก ๆ องค์ประกอบในหนัง สีของฉากที่สบายตา เพลงไพเราะจับหู บทบาทของความเข้ามาตั้งใจรัก การมองเห็นและยอมรับตัวตนที่แท้จริงของคนทั้งคู่ ทำให้ถึงแม้จะดูเรียบง่ายและแสนเชย แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่ากินใจและฝังลึกลงไปในหัวมาก ๆ จนไม่แปลกใจที่มันจะถูกยกย่องให้เป็นอีกหนึ่งหนังในประวัติศาสตร์ของนักดูหนังรักที่จะห้ามพลาดโดยเด็ดขาด

ความประทับใจโดยรวม

จุดเด่นของ 10 Things I Hate About You คงหนีไม่พ้นความสดใส สดใหม่ ที่จะจุดประกายอะไร ๆ บางอย่างที่อาจด้านชาตายด้าน ให้กลับมาครึกครื้นเต็มเปี่ยมไปด้วยรักอีกครั้ง ไฟแห่งชีวิตจะถูกจุดขึ้นในทันทีที่หนังเรื่องนี้จบลง กระทั่งรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหนัง เป็นต้นว่าคอสตูมต่าง ๆ ในยุค 2000s เมื่อมาดูตอนนี้แล้วก็คงรู้สึกได้ไม่ยากว่ามันช่างมีเสน่ห์และทรงพลังอย่างที่หนังยุคใหม่คงให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป และฉากต่าง ๆ ที่หนังได้สรรค์สร้างไว้คงจะตราตรึง ติดอยู่ในใจของผู้ที่ได้ลองชมไปอีกนานแสนนาน

A Walk to remember หนังรักอมตะที่อยู่ในความทรงจำ

A Walk to remember คือหนังอีกเรื่องที่ถ้าไม่ใช่สายหนังรักจริง ๆ อาจไม่เคยได้ยินชื่อ หรือเพียงแค่มองผ่านตาแล้วก็ผ่านไปเพราะโปสเตอร์หนังที่ค่อนข้างเก่าเก็บ และไม่ดึงดูดสายตาคนปัจจุบันมากนัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ยังเป็นอีกหนึ่งตัวเต็งของหนังรักที่ดีที่สุดแห่งยุคที่ใครหลาย ๆ คนควรได้ดู และต้องบอกว่าผู้ชายอกสามศอกบางคนถึงกับต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องนี้

ก้าวแรกที่ออกเดิน

ถ้าหากดูอย่างไม่คาดหวังมาก่อน เส้นเรื่องของ A Walk to remember ดำเนินไปอย่างธรรมดาสามัญ บางคนอาจบอกว่าน้ำเน่าด้วยซ้ำ เมื่อสาวไร้ตัวตนกับหนุ่มหล่อแบดบอยได้มาร่วมหอลงโรงกัน แต่แล้วเรื่องราวเศร้า ๆ ที่ผ่ากลางความรักของคนทั้งสองคนก็กลายเป็นประเด็นที่ทำให้ A Walk to remember กลายเป็นหนังที่ถูกจำจดมากเรื่องหนึ่งทีเดียว เพราะแม้ว่าการจะดูหนังเก่า ๆ เรื่องหนึ่งเมื่อมันผ่านมานานแล้วอาจกลายเป็นว่าบางมุกบางแง่มุมในหนังจะดูเกร่อเกินกว่าเราจะเข้าใจความประทับใจแรกพบของมันได้ แต่ด้วยบทเฉิ่ม ๆ แสนธรรมดาและหาได้ทั่วไปนี้เองก็ทำให้เราพบกับความประทับใจของคนรุ่นใหม่ที่มองไปยังผลงานเก่า ๆ เช่นกัน

ตัวละครทุกตัวถูกขับออกมาให้โดดเด่นด้วยคาแรคเตอร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นรายปัจเจกไป แต่กลับกลมกล่อมและละมุนละม่อมอย่างไร้ที่ติ ความโรแมนติกที่ไหลผ่านน้ำ ร่วงลงมาพร้อมกับใบไม้ยามเย็นคือนิยามของหนังเรื่องนี้ และถึงแม้ความรักจะเปียกปอนไปด้วยน้ำตา ถูกอัดแน่นไปด้วยความโศกเศร้าผิดหวังเสียเต็มประดา อย่างไรความรักก็คือความรัก ทะนงในตนและงดงามอยู่เสมอ จนบางครั้งเผลอเอาตัวเองเข้าไปเปรียบเทียบว่าความรักได้เปลี่ยนแปลงตัวเราไปในทางที่ดีขึ้นจนทาบทับกับบทของพระเอกได้อย่างสนิท และความหมายของการแต่งงานในสายตาของผู้ชมจะเปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็น้อยเมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะในแง่ใดก็ตาม

พัฒนาการของตัวละครคืออีกสิ่งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้เล่าออกมาได้อย่างชัดเจนจนหลับตาดูก็ต้องเห็น และสิ่งนี้คือท่อนที่ขมวดปมทั้งหมด เพราะการที่เราดีขึ้นเพื่อใครสักคนก็ตาม ในนามของความรัก ก็เท่ากับว่าเราได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว

สู่ก้าวสุดท้ายในความทรงจำ

ที่ A Walk to remember เป็นอมตะได้ก็คงเพราะปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่อยู่ในตัวของมัน มีครบในทุก ๆ อย่างที่หนังรักควรจะมี เส้นเรื่องที่แข็งแกร่งน่าจดจำ ตัวละครพระเอกนางเอกที่กินใจ ตัวประกอบเรื่องราวต่าง ๆ ที่ทำให้ทุกฉากทุกตอนมีความหมาย และทั้งหมดทั้งมวลที่มัดรวมกันผ่านฟิล์มหนังแผ่นเก่า สู่สายตาของเราในยุคที่โลกหมุนไวไม่เท่าทันอินเทอร์เน็ต ความรักยังคงเป็นสิ่งแรก ๆ เสมอที่มนุษย์ไขว่คว้าวิ่งตามหา

Her แด่คนรักที่เอิกเกริกในงานเลี้ยงที่แสนเงียบเหงา

จะมียุคใดที่เราจะอินไปกับหนังเรื่อง Her ไปได้มากกว่าในช่วงทศวรรษนี้อีก คงพูดได้แค่ว่าหนังเรื่องนี้ถ้าย้อนกลับไปดูเมื่อสักสิบยี่สิบปีก่อน ตัวเรา ๆ เองอาจไม่ได้เข้าใจ หรือเข้าถึงหนังมากขนาดนั้น เพราะการตกหลุมรักปัญญาประดิษฐ์ทำให้เราดูเป็นคนไร้ปัญญาไปเลย จนบางครั้งก็เกือบลืมไปว่าไม่ว่าตอนไหนที่มนุษย์หลงรักอะไรสักอย่าง พวกเราก็มักจะโง่เขลาเบาปัญญาอยู่แล้วเป็นทุนเดิม

หลงรักเพราะเสียง

เมื่อความเหงาเงียบเชียบโรยตัวอยู่ตามพื้นห้องและบนไดที่ซับเวย์ หลังจากที่ต้องร้างลาจากชีวิตคู่ สู่ความอ้างว้างฉบับชายโสดสุดโศก ทีโอดอร์ หนุ่มนักเขียนโลกกว้าง ดื่มน้ำผึ้งแทนน้ำเปล่า และใช้แสงจันทร์แทนโคมไฟ ความโรแมนติกในตัวที่ล้นเอ่อทำให้งานของเขาไปได้สวย แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เอาไหนเสียเลย และแล้วการเข้ามาของโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างซาแมนธา ก็กลับเปลี่ยนชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง

ในแง่ของเจ้านายกับลูกน้อง ซาแมนธาโดดเด่นปราดเปรียว รู้ใจเขาอย่างที่ไม่เคยมีใครเป็นได้มาก่อน ทีโอดอร์เริ่มพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นจากภวังค์แห่งความเหงาเงียบ ถีบตัวเองออกจากมุ้งของความโดดเดี่ยว แต่แล้วจุดขายสำคัญของเรื่อง คือความรักที่มาจากเสียง ก็กลับทำให้เขากลายเป็นคนละคนจากตอนต้น จมจ่อมในความรัก และน่าพิศวงที่ความรักนั้น เกิดขึ้นจากเสียง ไร้รูปกาย หรือสัมผัสใด ๆ แต่เขาก็ยังยินดีจะโอบเอาความรักนั้นเข้าสู่หัวใจอย่างอิ่มเอม

ส่วนสำคัญที่ทำให้เราคนดูเองมีหลงเกือบจะรักไปกับซาแมนธา โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาวสมองใส มีมุกตลก ฉลาด อีคิวสูง และรวบรวมทุกสิ่งอย่างที่เราจะใฝ่ฝันถึงคนรักสักคนเอาไว้ในตัวเธอได้อย่างครบถ้วน เมื่อมันถูกถ่ายทอดมาด้วยน้ำเสียงของ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน นี่เองที่เป็นจุดจดจำของเรื่อง ที่ทำยังไงก็ลืมไม่ลง กับความเซ็กซี่ขี้เล่นที่พยายามจะฉุดให้เราตกลงในหลุมรักอย่างไม่ทันได้รู้สึกตัว

อกหักเพราะเสียง

แต่แล้วหนังก็กลับหักหลังเราจนเดาะได้อย่างเจ็บแสบ เพราะหนังเรื่องนี้ไม่ใช่แนวโรแมนติกเสียอย่างเดียว มันยังคงมีความดราม่าเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วหยดน้ำตาที่ซ่อนตัวอยู่ตามอารมณ์รักโลภโกรธหลงก็โผล่เข้ามาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวหรือเตรียมใจ ความเงียบเหงาเว้าแหว่งของตัวละครหลักอย่างทีโอดอร์ทำให้ใครหลายคนเห็นภาพเป็นตัวเองสวมแทนตัวเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความรู้สึกรักว่ามันมีขีดจำกัดเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วจะสามารถทลายกำแพง โอบความรักไว้เพียงแค่เสียง ไม่ต้องสนใจคนธรรมดาต่อไปจริง ๆ หรือไม่ หรือท้ายที่สุดแล้ว การพบปะมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกันจะย่อมเป็นสิ่งที่สัตว์สังคมจะขาดไปไม่ได้ แต่ทั้งนี้ ความรักที่ทีโอดอร์มีต่อซาแมนธา อย่างไรจะเรียกมันว่าความรักก็คงไม่ผิดแน่

Moulin Rouge โรงละครในความทรงจำที่ไม่เคยปิดม่านการแสดง

Moulin Rouge กลายเป็นหนังอีกเรื่องที่เมื่อเปิดกรุหนังเก่าในความทรงจำของใครหลาย ๆ คนดู คงมีมันโผล่ออกมาบางส่วน อาจเป็นแสงสีแห่งความยิ่งใหญ่ของคลับอันใหญ่ยิ่งที่ปารีส ลีลาท่าทางการเต้นแคนแคนที่สะกดใจ สยบทุกสายตา กระทั่งความสวยอันเป็นอมตะนิรันดร์ของนางเอกอย่าง ซาทีน ที่รับบทโดย นิโคล คิดแมน ทุก ๆ สิ่งล้วนแล้วแต่เป็นเศษเสี้ยวของความทรงจำที่เด่นชัดเมื่อเราพูดถึงละครเพลงอมตะสักเรื่อง

การเริ่มต้นแห่งความรักในเสียงเพลง

การเล่าเรื่องเป็นไปอย่างเรียบง่าย ตามทำนองครรลองของสิ่งที่หนังควรจะเป็น ไม่มีฉากที่หวือหวาหักมุมเสียจนต้องอ้าปากค้าง แต่กลับเบาบางลุ่มลึก น่าลุ่มหลงเสียจนประทับอยู่ในใจของใครหลาย ๆ คน ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีดีเพียงแค่เส้นเรื่องที่เรียบง่ายแต่กรีดลึก ภาษาท่วงท่าใด ๆ เพลงทุกเพลงที่ถูกขับร้องจากทุก ๆ ตัวละคร ฉากแสงสียิ่งใหญ่อลังการเท่าที่โรงละครชั้นยอดจะทุ่มทุนได้ และสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมในทุกครั้งที่เปิดม่านการแสดงอย่างไม่รู้ลืม

ตัวละครผู้เล่าเรื่องที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอย่างคริสเตียน เขาคือกวีผู้ไขว่หา เชื่อมั่น ยึดถือในความรักเหนือสิ่งใด จวบจนวินาทีสุดท้ายที่ได้อยู่กับหญิงคนรัก เขาเก็บร่างกายของเธอ น้ำเสียง นิสัยใจคอ การขยับร่ายรำ ฉายานางฟ้าไร้ปีก ความงดงามและความลุ่มหลงส่วนตัวใด ๆ ที่เขามีต่อซาทีน มากักเก็บไว้ในหนังสือนิยายตามหน้าที่ของกวีผู้ใฝ่รัก และมีความรักอย่างลึกซึ้งมาแล้ว

ทางด้านตัวละครเด่นอีกตัวอย่างซาทีน แม้จะเป็นหนังเก่าแล้ว แต่ตัวละครตัวนี้กลับมีถ้อยคำหลายคำที่ทำให้เราในวันนี้หลังจากหนังได้ออกฉายมาเป็นสิบ ๆ ปีได้คิดคำถาม หล่อนเป็นนกน้อยในกรงทอง ทำให้ถูกตีตรา กำหนดค่าของตัวเองไว้แค่เงินตรา ไม่เคยรู้จักความรัก และเคียดแค้นฮาร์รอด เจ้าของมูแลงรูจ ว่าเขาหลอกลวง ให้เธอด้อยค่าตัวเองถึงเพียงนั้น กระนั้นเองความฝันชั่วชีวิตของหญิงสาวผู้เลอโฉม ก็ยังได้เป็นจริงแม้อย่างน้อยเพียงสักครั้งเดียว การได้พบกับความรัก และก้าวขึ้นสู่บทบาทของการเป็นนางเอก ผู้เลือกมหาราชา

ความจับใจของเส้นเสียง

Moulin Rouge ในสายตาของผู้ชมในปัจจุบันอาจไม่ได้จับใจเท่ากับครั้งแรกที่มันออกฉายเมื่อหลายปีก่อน แต่หากมองในแง่ของศิลปะ ทั้งในด้านศิลปะในเรื่อง ท่วงท่าการร่ายรำ คำประพันธ์ในบทเพลง กระทั่งบทภาพยนตร์นี้เองก็ตาม ย่อมถูกบรรจุอยู่ในหนังประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งที่ควรดู แน่นอนว่าอาจไม่ถูกใจทุกคน เพราะความยืดเยื้อ พ่อแง่แม่งอน มายาคติเรื่องความรักอันเป็นจุดแข็งของเรื่อง อาจทำให้หลาย ๆ คนขัดใจไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังเป็นหนังที่ควรค่าแก่การมอบเวลาสองชั่วโมงเพื่อเก็บเกี่ยวอรรถรสและรสชาติสีแดงของความรักจากเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด

Portrait of a Lady on Fire หนังอาร์ท ที่ติสท์เกินเข้าใจ?

Portrait of a Lady on Fire คือหนังสัญชาติฝรั่งเศสที่ถ้าคุณไม่ได้พูดภาษาฝรั่งเศสคงต้องพึ่งซับไตเติ้ลเอา แต่ในตัวหนังมีสัญญะบางอย่างมากมายที่ขับขานเรื่องราวความรักในแบบที่โลกอาจไม่เข้าใจนัก สู่ภาษาแบบที่คนทั่วโลกเห็นแล้วต้องเข้าใจ ความรักของหญิงสาว สู่หญิงสาว โดยหญิงสาวเอง สะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาทและนัยน์ตาของผู้รับชม น้อยกว่าเวลาที่หนังเล่นวนอยู่ในใจหลังจากโรงปิดเสียอีก

ศิลปะแห่งการถ่ายทอดเรื่องราว

ที่เราต้องเรียก Portrait of a Lady on Fire ว่าเป็นหนังอาร์ตเพราะมันอาร์ตอย่างเต็มปากเต็มคำ เอาแค่อาชีพของนางเอกก็เป็นจิตรกรแล้ว แม้เธอจะมีอิสระ ไม่ต้องผูกมัดกับขนมธรรมเนียมใด ๆ แต่หญิงคนที่เธอรักกับโดนห่วงโซ่ของพิธีการแต่งงาน สร้างครอบครัว และมีลูก รัดรึงไว้แน่นหนา นอกจากนี้ ยังประสิทธิ์ประสานศาสตร์และศิลป์ในอีก ๆ หลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นคีตศิลป์ ดนตรีศิลป์ หรือวรรณศิลป์เองก็ตามแต่

ตำนานการหันหลังกลับของชายผู้ทวงคืนหญิงคนรักจากนรกเป็นที่ถกเถียงกันในเรื่องอย่างน่าฉงนใจและชวนให้คิดตาม อีกทั้งยังมีสารลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สอดแทรกเอาไว้ตลอดเรื่อง จนต้องตั้งใจดูอยู่หลายครั้ง แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นถูกทาบทับด้วยกรุ่นไอรักจากจิตรกรหญิงและนางแบบสาว ที่คนทั่วโลกที่ใช้ต่างภาษากันคงดูได้อย่างเข้าใจโดยไร้ซึ่งคำบรรยายใด ๆ ว่าหล่อนทั้งสองรักกันอย่างถึงก้นบึ้งของจิตใจ

กระทั่งฉากจบ Portrait of a Lady on Fire ก็สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาด้วยตัวเอง จากการล้อกับตำนานที่ถูกนำมาพูดถึงในเรื่อง การหันหลังกลับไปเพื่อจดจำบางสิ่ง ละทิ้งบางอย่าง กับการจ้องมองไปข้างหน้าเพื่อเฝ้ารอคอยวันที่สองเราจะได้เคียงข้าง สิ่งเหล่านี้ผู้กำกับไม่ได้บอกเล่าพวกเราโดยตรงแบบพูดกรอกหู หากแต่การกระทำของตัวละครก็ทำให้เราเชื่อกันอย่างเหลือเกินว่าความโศกเศร้าที่ระอุในหน้าจอ ช่างขัดแย้งกับคำบอกเล่าของตัวละครเอง ผ่านบทเพลงที่ถูกเล่นในเรื่องเพียงแค่สองครั้ง แต่กลับดังก้องยาวนาน กินเวลาหลายปี จนเด็กคนหนึ่งเติบโต ความรักยังไม่มอดจาง ไม่เคยเลือนหาย

ความงดงามของหนัง

เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงที่ได้ให้ไปกับการรับชม Portrait of a Lady on Fire คือสองชั่วโมงที่ได้ให้จิตวิญญาณได้ดื่มกินความรักระคนโศกที่สวยงามราวกับภาพวาด ถ้าตัดคำสร้อยทุกสิ่งอย่างที่จะบรรยายเพื่อชมเชยความงามงดของผลงานทั้งหลายภายในเรื่องอย่างหมดจดไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือกลิ่นไอความเศร้าที่โดดเดี่ยวจากการขาดรัก ที่ซึมลึกอยู่ในใจ ถึงขั้นที่ว่าไม่ว่าเห็นภาพฉากใดก็ตามจากหนังเรื่องนี้ ความรู้สึกเศร้าซึมก็จะตีขึ้นมาที่อกทุกครั้ง เหมือนได้สบตากับตัวละครสักตัว แล้วพบเจอแต่ความอาลัยรักอยู่ในนั้น

The Great Gatsby ขอสดุดีแด่แกสบี้ผู้ยิ่งใหญ่

The Great Gatsby เป็นที่รู้จักกันในนามของหนังสือชื่อดังก้องโลก และหนังชิ้นโบว์แดงของลีโอนาร์โด ดีคาปริโอ ซึ่งเชื่อว่าแฟนคลับของเขาหลาย ๆ คนคงไม่พลาดเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะได้ดาราแม่เหล็กมาร่วมแสดงกันหลายคนแล้ว หนังยังทุ่มทุนสร้างความยิ่งใหญ่ตระการตาของแกสบี้ ให้สมกับที่หัวใจของเขาถวิลหา แต่ก็ยังน้อยเกินไป และไม่เคยเพียงพอต่อหญิงคนที่เขารักเสียที    

เงินซื้อความรักก็ว่าได้

หนังเรื่อง The Great Gatsby คือตัวแทนของคำพูดที่ไว้เสียดแทงสังคมร่วมสมัยได้อย่างเจ็บแสบ ไม่ว่ายุคไหนปีใด เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ กระทั่งสิ่งของมีค่าทั้งหลายแหล่ก็ไม่เคยถูกลดตัวด้อยค่าจนไม่สามารถตีตราเป็นสิ่งใดได้ และหลาย ๆ ครั้งถ้าไม่โกหกตัวเองมากจนเกินไป เงินสามารถซื้อความรักได้ แม้จะในแบบทางอ้อม หรือกระทั่งคำโกหกก็ตาม แกสบี้คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่เชื่อแบบนั้น ไขว่คว้าหาวิธีทุกทางเพื่อให้เดซี่ หญิงยอดรักในดวงใจของเขาได้โฉบมาที่คฤหาสน์แห่งความเงียบเหงา ประตูบานกว้างที่เว้าแหว่ง และเจ้าของบ้านหลังใหญ่ที่เอื้อมมือไขว่คว้าสิ่งที่ไม่เคยเป็นของเขาสักครั้ง แสงสีเขียวที่อยู่ตรงกันข้ามอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ

นิค คาร์ราเวย์ ทำหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่องทั้งหมดได้อย่างครบถ้วน เขานับถือเคารพแกสบี้ เป็นเพื่อนคู่ใจ สหายคู่กาย มองลึกเข้าไปถึงเนื้อแท้ภายใน ว่าแกสบี้มาจากไหน ต้องการสิ่งใด และเป็นใคร ชั่วเวลาที่ชีวิตของสหายรักโลดโผนโดดเด่น ขึ้นสู่จุดสูงสุดของความต้องการที่มนุษย์จะเอื้อมคว้าได้ เขาไร้ซึ่งญาติมิตร กระทั่งใครสักคนที่หวังดีแก่กันจากใจจริง นิคเข้ามาเป็นคนที่ทำหน้าที่เติมเต็ม แกสบี้ยังมีเขาเสมอไม่ว่าเวลาใด

จวบจนใกล้จบเรื่อง แกสบี้ไม่เคยหมดศรัทธาในความรัก เขาโหยหาการยอมรับ ขวนขวายเงินทอง สร้างประวัติสวยหรู เพราะเรียกร้องความรัก จากคนรัก จนวินาทีสุดท้ายที่หนังเล่าให้เราฟังถึงชีวิตของชายผู้มีความรัก เขายังเชื่อเดซี่หมดหัวใจ เอาหัวใจและชีวิตของเขาเพื่อแลกกับการได้โอบกอดเธอไว้ แม้เพียงในความคิดก็ตามที

มิตรสนิท สหายรัก

Gatsby ที่ถูกเติมคำว่า The Great เติมหน้าเข้าไปด้วยฝีมือของนิค คาร์ราเวย์ คงเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักในสหายคนพิเศษของเขาได้เป็นอย่างดี นิคไม่ได้บอกว่าแกสบี้ถูกทุกอย่าง แต่ตัวเขาที่ถูกแสงสีของมหานครย้อมเบ้าตาจนกลายเป็นใครอีกคนที่เขาไม่เคยนึกฝันว่าตัวเองจะได้เป็น เขาชื่นชมในหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของแกสบี้ ความมุมานะทุกอย่าง ความซื่อสัตย์ และที่สำคัญ หัวใจที่เปี่ยมรักของแกสบี้ แม้ในที่สุดแล้ว แสงสีในงานเลี้ยงจะถูกดับลง ไร้ซึ่งงานรื่นเริงใด ๆ คงไว้เพียงแต่ความเงียบเหงา หากเดซี่ยังคงเริงระบำ หัวเราะร่าเสียงหวานอยู่ในโสตประสาทของเขาเสมอ

The Notebook สมุดเล่มหนึ่ง ที่ว่าด้วยความรัก

The Notebook ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในหนังอมตะนิรันดร์กาลของ นิโคลัส สปาร์ค ที่โด่งดังทั้งตัวนิยายหรือหนังเอง เป็นต้นแบบของคำว่า Summer Love ที่ติดตรึงใจของใครหลาย ๆ คน ความรักที่ไม่อาจไปจับวางหรือขีดเส้นต้านเอาไว้ได้คือความประสงค์อันหอมหวานในวัยเยาว์ แต่ในช่วงเวลาที่เราแก่ตัวลงและความรักไม่ใช่ทุกอย่างที่จะพาให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างปกติสุข นั่นคือรอยแยกขนาดใหญ่ ที่ใครบางคนเต็มใจกระโดดลงไปในหลุมอีกครั้ง

เปิดอ่านทีละหน้า

Rachel McAdams ได้แจ้งเกิดจากหนังเรื่องนี้ในบทของแอลลี่ สาวผู้พบรักกับเด็กหนุ่มในช่วงพักร้อนแค่สั้น ๆ พ่อและแม่ของเธอไม่เคยเห็นดีหรือให้ความสำคัญใด ๆ กับความสัมพันธ์กันฉาบฉวยนี้ กลับกัน ตัวเธอเอง แอลลี่ และโนอาห์ ที่รับบทโดย Ryan Gosling ชายหนุ่มที่ไม่เคยหยุดคิดถึงความรักในฤดูร้อนครั้งนั้น และเมื่อใดที่กลับมาพบกัน ก็ดึงดูดกันอย่างรุนแรงราวแม่เหล็กถวิลขั้ว ความรักอันเป็นจุดแข็งนี้เองที่ทำให้เรื่องราวใน The Notebook ถือกำเนิดขึ้นมา อย่างไม่ธรรมดา แต่กลับซึมลึกลงไปในใจของผู้ชมไม่ต่างจากฝนที่เปียกปอนกระทบดิน    

และ The Notebook ยังทำให้เราเห็นความแตกแยกที่ระหองระแหงในความรัก ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าความขัดแย้งในความสัมพันธ์ไม่ใช่แผลเป็นหรือรอยตำหนิที่มีต่อรูปปั้นใด ๆ ที่คู่รักบรรจงสร้างไว้ร่วมกัน ทว่ากลับเพิ่มความล้ำลึกและกลมกลึงให้กับมัน เพราะการได้เห็นกันในทุก ๆ ด้าน การทะเลาะเบาะแว้งและออกปากเสียงใด ๆ ที่คู่รักมีต่อกัน อย่างที่แอลลี่กับโนอาห์เคยได้พานพบ นั่นคือจุดสำคัญของการประคองรัก และน่าประทับใจอย่างยิ่งที่มันถูกบรรยายไว้ในหนังได้อย่างครบถ้วน ไม่ได้เลือกให้เราเห็นเพียงแต่ความหวานชื่น หรือรสชาติร้อนแรงของการร่วมรักและรอยจูบ

The Notebook มีความพิเศษในตัวของมันโดยที่ไม่ได้กล่าวถึงวีรบุรุษผู้กอบกู้โลก หรือราชินีที่ครองบัลลังก์แสนยิ่งใหญ่ กลับเป็นเพียงเรื่องราวธรรมดา ๆ ของคู่รักธรรมดา ๆ ที่อยู่กันจนแก่เฒ่าและใช้ชีวิตอย่างธรรมดา ๆ จะมีโชคชะตาที่แวะเวียนเข้ามาก่อกวนให้เกิดความโกลาหลบ้างในบางครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้วนี่เอง ความธรรมดาทั้งหลายแหล่ที่ผู้เขียนและผู้กำกับตั้งใจจะสื่อให้เราเห็น เล่าให้เราฟัง กลับกลายเป็นความจับใจอย่างที่หนังเรื่องไหนก็ไม่อาจหามาให้ได้ เรื่องราวที่แสนตื้นเขิน ไร้ความตื่นเต้นและเร้าใจใด ๆ ให้ร่วมวิเคราะห์ เป็นเพียงแต่ความรักที่ให้เราชื่นชมดื่มด่ำเพียงเท่านั้น

หนังในรูปแบบหนังสือที่ต้องเก็บไว้อ่าน

The Notebook คงเป็นหนังเรื่องหนึ่งในลิสต์ที่หลาย ๆ คนอาจเก็บไว้อยู่แล้วถ้าหากเป็นคนชอบเสพหนังรัก เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเสิร์จดูจากไหน ก็คงไม่แคล้วมีคนแนะนำเรื่องนี้ แต่กระนั้นเองด้วยตัวเนื้อในของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้พิสูจน์ตัวมันเองแล้วว่าทำไมจึงคู่ควรอยู่บนหิ้งจัดอันดับของนักดูหนังรักทั่วโลก ว่ามันคือความทรงจำอันแสนหอมหวานและเปียกป้อนไปด้วยสายฝนที่กลั่นมาจากหยาดน้ำตา

The Beauty Inside คนแปลกหน้าที่คุ้นเคย

เป็นหนังเกาหลี ฉายเมื่อปี 2015 หนังพล็อตเรื่องแปลก เรื่องราวความรักของชายหนุ่มที่ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ทุกครั้งที่ตื่นจะเปลี่ยนเป็นอีกคน เปลี่ยนไปแบบไม่ใช่คนเดิม แม้แต่เขาเองก็เดาไม่ได้ว่าจะตื่นมาเป็นเพศอะไร วัยไหน เชื้อชาติอะไร หนังเรื่องนี้ใช้นักแสดงเป็นหนังที่ใช้นักแสดงนำและ Extras กว่า 100 คน เพื่อรับบทบาทพระเอกของเรา “คิมอูจิน” เพียงคนเดียว  

หนังเปิดเรื่องมาในตอนเช้าพร้อมกับชายวันกลางคนคนหนึ่งที่เร่งรีบแต่งตัวและออกจากห้องพักที่เขาใช้หลับนอนกับหญิงสาวเมื่อคืนก่อน แต่ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ดูเหมือนจะเล็กกว่าขนาดตัวของเขามาก ซึ่งเขาก็ใส่มันเมื่อคืนก่อนซะด้วยสิ ชายคนนี้ชื่อว่า คิมอูจิน ซึ่งเขามีความแปลกอยู่อย่างนึงคือ เมื่อเขาตื่นนอนในทุกๆวัน เขาจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เขาเปลี่ยนเป็นคนแก่ หนุ่มหล่อ ผู้หญิง เด็ก ซึ่งบุคลิก ท่าทาง น้ำเสียง ก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย วันหนึ่ง เขาได้พบกับ อีซู พนักงานสาวสวยที่ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ และได้ตกหลุมรักเธอเข้าอย่างจัง เขามาเฝ้าดูเธอทุกวัน (แน่อนว่าทุกครั้งที่มา ใบหน้าเขาก็ไม่เคยซ้ำ) จนวันหนึ่ง เขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะขอเธอออกเดท ทุกอย่างเป็นไปได้สวย เขาค้นพบว่าเขาจะไม่เปลี่ยนเป็นคนใหม่ถ้าเขาไม่นอน และนั่นทำให้เขาสามารถออกเดทกับเธอได้สามวันติดต่อกัน แต่เมื่อเขาไม่สามารถต้านทานต่อความง่วงได้ มันจึงห้ามไม่ได้ที่จะหลับไปและตื่นมาเป็นอีกคนที่อีซูไม่เคยรู้จัก เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงขาดการติดต่อกับเธอในที่สุด

อูจินทนต่อไปไม่ไหว เลยตัดสินใจบอกความจริงให้อีซูรู้ เกี่ยวกับเรื่องราวอันแสนประหลาดของเขา แต่โชคเข้าข้างเขาเพราะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและเธอลึกซึ้งพอ และอีซูก็พยายามทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ และทั้งสองจึงได้คบหากันเป็นแฟน แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะดูราบรื่นมีความสุขเสมอไปเมื่ออีซูเริ่มป่วย ขี้หลงขี้ลืม และนอนไม่หลับ เธอเริ่มเครียดจากการที่แฟนเปลี่ยนเป็นคนอื่นในทุกเช้า เธอจึงตัดสินใจเข้าพบจิตแพทย์และเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จนเมื่ออาการของเธอทรุดหนักและเข้าโรงพยาบาล วันนั้นเองอูจินถึงได้รู้ความจริงว่าตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้แฟนสาวต้องล้มป่วยแบบนี้เขาจึงตัดสินใจบอกเลิกเธอและตีตัวห่างออกมา ในขณะเดียวกันอาการป่วยของเธอก็ดูจะทุเลาลงจนเป็นปกติ เวลาผ่านไปเกือบปี หัวหน้าของอีซูสนใจเฟอร์นิเจอร์ยี่ห้อหนึ่งจากสาธารณรัฐเช็กและวานให้เธอเป็นผู้ติดต่อให้ อีซูจำลักษณะการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ของอูจินได้ และตัดสินใจไปหาเขาที่สาธารณรัฐเช็ก และที่นั่นทำให้ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้ง เรื่องราวโรแมนติกของทั้งคู่จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง

เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีพล็อตเรื่องค่อนข้างแปลก ทำให้คนดูพลอยยิ้มและมีความสุขไปกับความรักของอีซูและอูจิน จากพล็อตที่ตัวเอกต้องเปลี่ยนเป็นคนใหม่ทุกครั้งตอนตื่นนอน ทำให้เราได้เห็นนักแสดงเกาหลีดังๆ หลายคนมารับบท อูจิน พระเอกของเรื่อง  ถือว่าเป็นทั้งสีสัน จุดเด่น และจุดขายของหนัง ฟากนางเอกของเรื่องก็ได้ นักแสดงสาวสวย ฮัน ฮโยจู มารับบท ซึ่งการแสดงบวกความสวยของเธอก็ทำให้หนังนุ่มละมุน น่าดูมากยิ่งขึ้นด้วย ใครที่ชอบสายโรแมนติก ก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้เลย หนังเรื่องนี้กำกับโดย ผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ชื่อ Baek Jong Yul หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Baik ซึ่งจากภาพยนตร์เรื่องนี้เองทำให้เขาได้รับรางวัลผู้กำกับหน้าใหม่ยอดเยี่ยม ปี 2015 จากงานประกาศรางวัลภาพยนตร์เกาหลี The Grand Bell Awards ครั้งที่ 52 อีกด้วย

The Reader ความรักของเด็กหนุ่มที่กลายเป็นความรู้สึกฝังลึก

เมื่อความรักรู้สึกรัก เกิดขึ้นตอนที่กำลังอยากลองรัก…และเมื่อหลงรักไปแล้ว มันก็ยากที่จะถอนตัว เป็นความรักที่หยั่งรากลึกลงไปก้นบึ้งความรู้สึกเลยก็ว่าได้ สำหรับ ไมเคิล เบิร์ก (รับบทโดย David Kross) เด็กหนุ่มอายุ 15 ปี ที่บังเอิญเจอสาวใหญ่วัยกว่า 30 ปี นามว่ากับฮันน่า ชมิทซ์ (ระบทโดย Kate Winslet) และการกลับมาเจออีกครั้ง…ความลึกซึ้งเกินเลยระหว่างสาวใหญ่และเด็กหนุ่มก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

The Reader (2008) กำกับโดย Stephen Daldry หนึ่งในทีมผู้กำกับซีรีส์ที่กำลังโด่งดังอย่าง The Crown ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้กำกับหนังดีน่าจดจำหลายเรื่อง เช่น Billy Elliot (2000) และ The Hours (2002) ตัวหนังมีฉากหลังเป็นประเทศเยอรมนี ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มชื่อไมเคิล เบิร์ก กำลังนั่งรถไฟกลับบ้านเขาเริ่มมีอาการป่วยด้วยไข้อีดำอีแดง (Scarlet Fever) และเมื่อลงจากรถไฟก็ดันเดินตากฝน ปากสั่น แถมยังอ้วกแตกจนทนไม่ไหว จึงหลบเข้าไปนั่งพักตรงทางเข้าบ้านฮันน่า ชมิทซ์ เมื่อเด็กหนุ่มที่ร่างกายและจิตใจกำลังอ่อนแอได้รับการช่วยเหลืออย่างอ่อนโยนจากฮันน่าสาวสวยใจดี ที่ทั้งเช็ดหน้า และล้างอ้วกให้ แถมยังกอดปลอบใจอย่างอ่อนโยน เขาจึงจดจำฝังใจ เมื่อหายป่วยจึงตั้งใจจะแวะมาขอบคุณ อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่าพอกลับมาเจอกันความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบลับ ๆ ของพวกเขาเกิดขึ้น ทั้งสองหลงใหลกันและกัน ไมเคิลแอบมาหาฮันน่าหลังเลิกเรียนทุกวัน จนมาวันหนึ่งไมเคิลอ่านหนังสือให้ฮันน่าฟัง และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฮันน่าตั้งกฎว่าก่อนมีอะไรกัน ไมเคิลต้องอ่านหนังสือให้ฟังก่อน (และคงเป็นจุดบอกที่มาของชื่อหนังว่า The reader อีกด้วย) อยู่มาวันหนึ่งฮันน่าหายตัวไป ทำให้ไมเคิลสับสนและหัวใจสลายกลายเป็นคนเงียบขรึม ความไม่เข้าใจและความเศร้าสร้อยมันเกาะหนึบอยู่ในหัวใจ จนเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังหวนนึกถึง ผ่านมา 8 ปีไมเคิลกลายเป็นนักเรียนกฎหมายและเข้าไปสังเกตการณ์ในห้องพิจารณาคดีอาชญากรรมของนาซี ที่นี่เองเขาได้พบฮันน่าอีกครั้ง…ฮันน่าในฐานะจำเลย และไมเคิลเพิ่งรู้ตัวว่าตนเป็นเพียงคนเดียวที่กุมความลับที่อาจทำให้ฮันน่าได้รับการลดโทษครั้งนี้ได้

แต่บอกไว้ก่อนว่าความลับที่ว่านี้ คือปมยิ่งใหญ่ของหนัง และเป็นไคลแมกซ์ระลอกแรกของหนังด้วยเช่นกัน ที่บอกว่าเป็นระลอกแรก ก็เพราะว่าไคลแมกซ์ระลอกที่สองตามมา ซึ่งครั้งที่สองนั้นมันสะเทือนอารมณ์เอามาก ๆ เลยทีเดียว หนังแบ่งเป็น 2 ช่วงหลัก คือช่วงที่พระนางได้ใช้เวลาด้วยกันและสัมพันธ์กันแบบลับ ๆ และช่วงที่สองคือช่วงกลับมาเจอกันอีกครั้งและมีเรื่องราวต่อเนื่องมาอีกหลายปี โดยไมเคิลกลายเป็นทนายความ (Ralph Fiennes รับบทไมเคิลตอนเป็นผู้ใหญ่) ได้กลับมาเป็น the reader ให้ฮันน่าอีกครั้ง เรื่องราวพักหลังเน้นถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร มีฉากที่คนดูก็ได้ประหลาดใจไปพร้อม ๆ กับไมเคิล ได้ยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกท่วมท้นที่รับรู้ร่วมกับตัวละคร ดนตรีประกอบดีจนประหลาดใจ ช่วงท้าย ๆ อินมาก น้ำตาซึมจนร่วงเผาะ มาดูอีกทีถึงรู้ว่าดนตรีประกอบมันมีผลจริง ๆ

 หนังเรื่องนี้เป็นหนังโรแมนติกดราม่าที่ทรงพลังมาก จะบอกว่าหนังมีตัวละครหลักแค่สองคนคือ ไมเคิล กับฮันน่าก็คงไม่ผิด และหากจะกล่าวว่าหนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องด้วยเรื่องราวของฮันน่า ชมิทซ์แล้ว เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังดำเนินเรื่องด้วยอารมณ์และความรู้สึกของไมเคิลด้วยเช่นกัน ถ้าถามว่าฮันน่ารักไมเคิลไหม จะตอบว่าฉากก่อนเลิฟซีนและเลิฟซีนก่อนจากกันเมื่อครั้งวัยรุ่นนั้นมันบอกไว้อยู่แล้ว และถ้าถามว่าไมเคิลยังรักฮันน่าอยู่ไหม ก็จะตอบว่าลองดูฉากใกล้จบที่ไมเคิลเตรียมห้องและติดรูปภาพบนผนังสิ..สะเทือนใจสุด ๆ

The Space between Us รักเราแค่ดาวอังคาร

วันนี้เราจะพาข้ามห้วงอวกาศไปกับภาพยนตร์แนวโรแมนติกไซไฟ หนังรักใส ๆ ที่พล็อตหลักของเรื่องเป็นการพูดถึงชีวิตของเด็กหนุ่ม ที่ต้องเติบโตในดาวอังคาร เราจะพาไปดูกันแบบเจาะลึกรายละเอียด และทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่ผู้กำกับพยายามจะสื่อออกมาถึงผู้ชมกัน

เมื่อมีสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนกับพบเจอกับคนที่ถูกใจก็กลายเป็นเรื่องง่าย แค่มีเอ็นเตอร์เน็ต ก็มีความรักได้แล้ว เช่นเดียวกันกับ การ์ดเนอร์ เอลเลียต (รับบทโดย อาซา บัตเตอร์ฟิลด์) เด็กชายวัย 16 ปี ที่เติบโตและใช้ชีวิตอยู่บนดาวอังคาร การ์ดเนอร์เป็นตัวละครที่สื่อถึงหลายประเด็น ทั้งการอยากรู้อยากเห็นตามวัย การอยากมีอิสรภาพได้ทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำ การใช้ชีวิตกับครอบครัว และการมีความรัก เรียกได้ว่าบทพยายามจะจับทุกประเด็นมาใสในตัวเขา แล้วทำให้เชื่อมโยงกัน แต่ด้วยเลาที่มีจำกัดจึงทำให้ไม่สามารถลงลึกในแต่ละปมได้ หลายคนที่ดูแล้ว จึงรู้สึกเหมือนหนังทำได้ไม่สุด แต่ถ้าลองมองในอีกมุมมองหนึ่ง เด็กที่ใช้ชีวิตกับการเรียนรู้จากเทคโนโลยีนอกโลก ความรู้และทักษะชีวิตของเขามีเพียงเท่าที่คนบนโลกโปรแกรมไว้เท่านั้น ทำให้เข้าใจได้ว่าผู้กำกับพยายามทำให้เหมือนจริง เพราะหนังใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการเล่าเรื่อง ทำให้คนดูไม่ต้องตีความซับซ้อน เพราะการใช้ชีวิตบนดาวดวงอื่นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน

ปมของหนังที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อเด็กชายจากดาวดวงอังคาร ได้พูดคุยและเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตกับเด็กสาวบนที่อยู่โลกมนุษย์ ความอยากรู้อยากเห็นของเขา จึงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า เป็นเรื่องราวความรักที่ดูเป็นไปได้อยาก เพราะการ์ดเนอร์ไม่สามารถใช้ชีวิตบนโลกเราได้อย่างเด็กปกติ เรียกง่าย ๆ คือ ร่างกายของเขาไม่สามารถทนต่อแรงดันอากาศและสภาพแวดล้อมในโลกได้ แต่ปัญหานั้นก็ไม่ได้ทำให้ความอยากที่จะมาใช้ชีวิตบนโลกลดลง นอกจากปมเรื่องราวรักแล้ว ก็ยังมีปมเรื่องปัญหาครอบครัวเข้ามาด้วย แต่ในส่วนนั้นดูเหมือนว่าจะทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ ภาพโดยรวมของหนังจึงเน้นไปที่ความรักของเด็กหนุ่มสาว ที่โรแมนติกและหน่วงความรู้สึกไปพร้อมกัน ถือว่าทำได้ดีในส่วนของหนังรัก แต่ประเด็นอื่นๆนั้นก็ขอพูดถึงเพียงเท่านี้ แนะนำว่าดูแบบชิล ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากจะดีกว่า

ถือว่าเป็นหนังรักโรแมนติกอีกเรื่อง ที่จะทำให้คุณได้ดื่มด่ำกับความชุ่มฉ่ำหัวใจ ในสไตล์รักใส ๆ ที่คงจะหาเจอในชีวิตจริงได้ยาก เป็นหนังที่เก็บไว้ดูเวลารู้สึกหม่นหมอง หรือท้อใจได้ดีระดับหนึ่งเลยล่ะ ดูแล้วจะสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างแน่นอน